ปฏิเสธไม่ได้ว่า ตอนนี้ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีอยู่ในภาวะขาขึ้น หรือตลาดกระทิง (Bull Market) ราคาเหรียญพุ่งสูงขึ้น อย่างล่าสุด ราคา Bitcoin แตะสูงถึง 73,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือทะลุ 2.6 ล้านบาทแล้ว จากราคาเหรียญที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้นักลงทุนทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ให้เข้ามาลงทุนในตลาดคริปโทฯ มากขึ้น ในขณะเดียวกัน ก็ดึงดูมิจฉาชีพให้เข้ามาเพิ่มมากขึ้นด้วย
แนวโน้มของ Bitcoin ในปีนี้
คุณศุภกฤษฎ์ บุญสาตร์ ผู้ก่อตั้ง Bitcast เผยว่า ในปี 2566 ที่ผ่านมา มูลค่าความเสียหายที่เกิดจากคริปโทเคอร์เรนซีมีมูลค่าสูงถึง 2.42 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 8.64 แสนล้านบาท ส่วนในปีนี้ มูลค่าความเสียหายอาจจะอยู่ในช่วงตลาดกระทิง จากความต้องการของตลาดที่จะครอบครอง Bitcoin ผ่าน Spot Bitcoin ETF
นอกจากนี้ ปีนี้ Bitcoin จะเกิดการ Halving หรือการลดปริมาณการผลิตลงครึ่งหนึ่งหรือ 50% เนื่องจากปริมาณ Bitcoin และความต้องการซื่อในตลาดเพิ่มขึ้นสูงตลอดเวลา แต่ความต้องการขายในตลาดมีจำกัด โดยจะเกิดขึ้นทุกๆ ปี การ Halving จะช่วยยื้อให้ปริมาณของ Bitcoin supply ถูกจำกัดลงและหายากขึ้น
ส่วนปริมาณ Bitcoin ที่สำรองใน Exchange รวมกันตอนนี้ อยู่ในระดับที่ต่ำ มีการซื้อแล้วโอนออกไปเก็บทั้งนักลงทุนสถาบันและรายย่อยจนอยู่ในระดับที่ต่ำมาก ซึ่งยังไม่รวมเรื่องที่ Spot Ethereum ETF ที่ทุกคนหมายมั่นปั้นมือว่าจะได้รับการอนุมัติในช่วงกลางปีนี้ จะเป็นปัจจัยที่ช่วยผลักดันมูลค่าในตลาดคริปโทฯ ได้อีกมากแค่ไหน
สำหรับในปีนี้ คุณศุภกฤษฎ์เสริมว่า จากการวิเคราะห์กราฟราคาตาม Linear Regression Lift กรอบราคามีความเป็นไปได้ที่จะถึง 100,000 ดอลลาร์ ในขณะที่ Resistance อยู่ที่ราว 380,000 ดอลลาร์ และ Support อยู่ที่ 35,000 ดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม การขึ้นราคาของเหรียญในตลาดคริปโทย่อมทำให้ล่อตาล่อใจมิจฉาชีพ เพราะต้นทุนในการโจรกรรมเท่าเดิมแต่ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น ผนวกกับคนหน้าใหม่ที่สนใจจะเข้ามาในตลาดก็มากขึ้นด้วย ทำให้ตัวเลขความเสียหายจากการโจมตีทางไซเบอร์เพิ่มขึ้นตามราคาของ Bitcoin และคริปโทอื่น ๆ
ปัญหาควรระวังสำหรับนักเทรด
นอกจากนี้ การเก็บรักษาคริปโทฯ มักมีปัญหาหลายประการ และเป็นอุปสรรคที่ทำให้การพัฒนาคริปโทฯ เกิดการใช้งานอย่างแพร่หลายได้ค่อนข้างช้า แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทได้แก่
- ปัญหาด้านความตระหนัก - คนส่วนใหญ่คุ้นชินกับการพึ่งพาบริการจากผู้ให้บริการในชีวิตจริง หากเกิดความเสียหายมีคนพร้อมช่วยเหลือ และสามารถกู้คือหรือย้อนธุรกรรมกลับได้ แต่สำหรับการเงินออนไลน์ในยุคนี้ โดยเฉพาะธุรกรรมบนโลกคริปโทฯ การย้อนธุรกรรมเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ หากถูกโจรกรรมแล้วจะไม่สามารถดึงเงินกลับได้
- ปัญหาด้านความรู้คริปโทฯ - สิ่งที่ผู้ใช้ควรรู้ มีแค่เรื่องการแสดงความเป็นเจ้าของในโลกของคริปโทฯ คนใช้ทั่วไปรู้แต่ว่าเราครอบครองเหรียญ เห็นเหรียญแสดงในกระเป๋า แต่ไม่ได้เข้าใจว่าการครอบครองนั้นพิสูจน์ด้วยอะไร จริงๆ แล้ว สิ่งที่ต้องปกป้องไม่ใช่สินทรัพย์ แต่เป็นการปกป้องสิ่งที่เราบอกระบบว่าเราเป็นเจ้าของหรือ Private Key เพราะถ้าได้ Private Key ไป Hacker สามารถพิสูจน์ต่อระบบได้ว่าเขาเป็นเจ้าของสินทรัพย์นั้น ทำอะไรกับมันก็ได้ นอกจากนี้ ผู้ใช้บางคนไม่รู้ว่า ผู้ใช้ไม่จำเป็นที่จะต้องพึ่งพา Exchange เพราะวัตถุประสงค์ของ Exchange คือ ตลาดสำหรับแลกเปลี่ยน Bitcoin และ Digital Asset แต่คนส่วนใหญ่ มองเป็นที่เก็บ Bitcoin และ Digital Asset อื่น
- ปัญหาทางด้านเทคนิค - เนื่องจากเทคโนโลยีเติบโตแบบก้าวกระโดด คนทั่วไปตามการเติบโตนี้ไม่ทัน แม้แต่คนที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่ไม่ได้ตามข่าวต่อเนื่อง เทคโนโลยีหรือเทคนิคการเขียนโปรแกรมถูกใส่เข้าในเพื่อป้องป้องความมั่งคั่งทางดิจิทัลอยู่ตลอดเวลา ในทางกลับกัน มิจฉาชีพก็เรียนรู้ที่จะเจาะระบบ หาช่องโหว่ จุดอ่อนของผู้ใช้
จาก 3 ปัญหาที่กล่าวมา ทาง Bitcast มองเห็นถึงความสำคัญของ Hardware Wallet Brand OneKey หรืออุปกรณ์ที่เพิ่มความปลอดภัยในการซื้อขาย และเก็บสินทรัพย์ดิจิทัลของผู้ถือ เพราะฉะนั้น นอกจากการเรื่องศึกษาข้อมูล เข้าใจความเสี่ยง เลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสม และลงทุนอย่างมีสติแล้ว การเก็บรักษาสินทรัพย์และความตระหนักในการใช้งานก็เป็นเรื่องที่สำคัญเช่นกัน