พูดถึงชีวิตวัยทำงาน เราทุกคนมักจะเจอกับแพ็คเกจเสริมที่ไม่มีใครต้องการชื่อว่า “ความเครียด” พ่วงมาด้วยเสมอ แม้จะมีคำพูดสวยหรูที่บอกว่า “ถ้าได้ทำงานที่รัก เราก็จะไม่เครียด” ขอค้านหัวชนฝาเลยว่าไม่จริง เพราะความเครียด ไม่ได้เกิดจากเพียงความชอบ หรือ ไม่ชอบงานที่ทำเท่านั้น แต่เป็นกลไกการตอบสนองต่อสิ่งรอบตัวของเรา ที่วิวัฒนาการขึ้นมาเพื่อให้มนุษย์สามารถเอาตัวรอดบนโลกใบนี้ได้ และความเครียดก็ไม่ได้จะมีแต่ข้อเสียเสมอไป
SPOTLIGHT พาคุณมารู้จัก และทำความเข้าใจกับเพื่อนแท้อีกคนที่มีชื่อว่า “ความเครียด” พร้อมวิธีดึงร่างนางฟ้าของเพื่อนคนนี้ มาช่วยกระตุ้นให้ทีมในที่ทำงานของคุณ Productive มากยิ่งขึ้น
เรามักจะรู้จัก “ความเครียด (Stress)” ว่าเป็นภาวะอารมณ์ที่บีบคั้น หรือกดดัน และเป็นจอมวายร้ายของชีวิตการทำงาน แต่ที่จริงแล้ว ความเครียดนั้นแบ่งออกได้เป็น “อีก 2 ร่าง” คือ “Eustress” หรือ “ความเครียดตัวดี” กับ “Distress” หรือ “ความเครียดตัวร้าย” ซึ่งทั้งคู่จะเกิดขึ้นเวลาเราจะต้องเจอกับสถานการณ์ใหม่ๆ ได้รับภาระความรับผิดชอบใหม่ๆ รวมไปถึงเวลาที่เราจะต้องย้ายงานหรือที่ทำงาน
เมื่อ Mindset เวลาเราเจอเรื่องที่เข้ามากระตุ้นต่างกัน ก่อให้เกิดความเครียดในรูปแบบที่ต่างกัน นำไปสู่ผลลัพธ์ที่ต่างกัน นี่คือความแตกต่าง ของความเครียดทั้งสองรูปแบบ
ความเครียดตัวดี (Eustress)
สาเหตุ : ความคิดมที่ว่าเรามีศักยภาพเพียงพอในการรับมือกับชาเลนจ์ต่างๆ ที่ถามโถมเข้ามา + พร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ตลอดเวลา เพื่อให้มีสกิลให้เพียงพอที่จะต่อสู้กับชาเลนจ์เหล่านั้น
ผลลัพธ์ : รู้สึกแอคทีฟ มีพลัง โฟกัสกับสิ่งที่ทำได้ดีขึ้น
ความเครียดตัวร้าย (Distress)
สาเหตุ : ความรู้สึกไม่พร้อมไม่ว่าจะเป็นเรื่องพลัง เวลา หรือความสามารถ
ผลลัพธ์ : รู้สึกบีบคั้น ถูกกดทับ ประสิทธิภาพการทำงานแย่ลง
ย้อนกลับไปในช่วง การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในปี 2020 ที่กรุงโตเกียว ทางผู้จัดงานมีนโยบายจำกัดจำนวนผู้ชมในสนาม และห้ามส่งเสียงเชียร์ หลายคนอาจจะคิดว่ามาตรการนี้ส่งผลดีที่จะช่วยลดแรงกดดันให้กับนักกีฬา ซึ่งจะต้องโฟกัสมากๆ ระหว่างทำการแข่งขัน แต่ผลที่เกิดขึ้นคือ นักกีฬาหลายคนกลับบอกว่าผู้ชม และเสียงเชียร์ที่หายไป ส่งผลให้พวกเค้าทำผลงานได้แย่ลง
“ความเครียดในระดับที่เหมาะสม” คือตัวช่วยสำคัญที่จะกระตุ้นให้ประสิทธิภาพในการทำงานของเราขึ้นสู่จุดสูงสุด ความเครียดที่น้อยเกินไปส่งผลให้เราไม่มีกะจิตกะใจลุกขึ้นมาทำงาน ในขณะเดียวกัน ความเครียดที่มาเกินไปก็ทำให้เราทำผลงานออกมาได้ไม่ดีเช่นกัน หรือมากไปกว่านั้น การที่จะต้องรับมือกับความเครียดเป็นเวลานานๆ อาจนำไปสู่อาการ วิตกกังวล แพนิก หรืออารมณ์ฉุนเฉียวเกรี้ยวกราด นานวันเข้าอาจนำไปสู่อาการ “หมดไฟ” ซึ่งเป็นปัญหาที่คนทำงานส่วนใหญ่กำลังประสบอยู่ในยุคนี้
ในที่ทำงาน เรามักจะเจอหัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงานหลายคนที่มักจะ “หวังดี” กระตุ้นคนรอบข้างด้วยอุปสรรค หรือความท้าทาย ซึ่งเราควรจะเช็คให้ดีว่า ที่เราทำอยู่นั้น เป็นการ “ผลักดัน” ด้วยการทำให้อีกฝ่ายอยากลุกขึ้นมาเผชิญกับอุปสรรคที่อยู่ตรงหน้า หรือเป็นการ “กดดัน” เพิ่มระดับความเครียด จนคนรอบตัวอ่อนล้า และไม่อยากร่วมเผชิญอุปสรรคไปพร้อมกับคุณ
“ความเครียดตัวดี ในระดับที่พอเหมาะ” คือส่วนประกอบสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นให้บรรยากาศในที่ทำงานของคุณ Productive และมีความสุขไปพร้อมกันได้ ไม่ว่าคุณจะอยู่ในบทบาทไหน คุณก็สามารถช่วยบาลานซ์ความเครียดภายในทีม ในระดับที่เป็นประโยชน์ได้ ด้วย 3 วิธีต่อไปนี้
1.ประเมิณสถานการณ์ด้วยการ “ให้คะแนน”
ถ้าจะถามคนในทีมตรงๆ ว่า “ตอนนี้กำลังเครียดหรือไม่?” อีกฝ่ายก็คงจะลำบากใจ หรือไม่ก็อาจจะตอบแบบเลี่ยงๆ ทำให้เราอ่านสถานการณ์ภายในทีมได้ยาก
หนึ่งวิธีที่น่าสนใจคือ การถามถึงปัจจัยต่างๆ ของงานที่ทำอยู่ และ ให้พวกเขา “ให้คะแนน ด้วยระดับ 1 - 10” กับสิ่งเหล่านั้น เช่น
หลังได้คำตอบออกมาเป็นตัวเลขแล้ว ก็ลองเจาะเข้าไปว่า มีอะไรที่หัวหน้า หรือคนอื่นๆ สามารถช่วยได้เพื่อให้คะแนนขยับขึ้นไปใกล้ 10 ได้บ้าง วิธีนี้จะช่วยให้อีกฝ่ายเปิดใจ และสัมผัสได้ว่าคนรอบตัวพร้อมที่จะอยู่เคียงข้าง และคอยช่วยเหลือเค้าเสมอ
2. แมตช์งานให้เหมาะกับคน
“Put the right man on the right job” การเลือกคนให้เหมาะกับงาน และเลือกงานให้เหมาะกับคนยังคงเป็นสิ่งสำคัญ และยิ่งในยุคแห่ง “The Great Resignation” วิกฤติการณ์ที่คนแห่ลาออกจากงาน เพื่อไปทำในสิ่งที่ตอบโจทย์ชีวิตพวกเขามากกว่าด้วยแล้ว เรายิ่งต้องรักษาคนในทีมเอาไว้ให้ดี เพื่อให้องค์กรยังคงขับเคลื่อนต่อไปข้างหน้าได้
การวางคนผิดที่ผิดทาง ให้พวกเขาทำสิ่งที่ไม่ถูกใจ และไม่ได้ใช้ศักยภาพเต็มที่ นอกจากจะเป็นการใช้ทรัพยากรคนเก่งอย่างไม่คุ้มค่าแล้ว ยังเป็นการเพิ่มความกดดันให้คนในทีมโดยไม่จำเป็น และเป็นตัวเร่งให้ไฟในการทำงานของเขามอดได้ไวขึ้นด้วย
บทบาทสำคัญของหัวหน้าทีมที่สามารถป้องกันปัญหาเหล่านี้ได้คือการรู้จักและเขาใจจุดอ่อน-จุดแข็งของแต่ละคนในทีม มอบหมายงานที่จะช่วย “ผลักดัน” เขาเพื่อให้เกิด “ความเครียดตัวดี” กระตุ้นให้เขาอยากทำงานอย่างเต็มที่ และอย่าลืมแสดงออกว่าคุณเห็นคุณค่าของความสามารถของเขา และสิ่งที่เขาทำ เพื่อเป็นการเติมน้ำมันหัวใจ ให้มุ่งไปข้างหน้าได้พร้อมกันทั้งทีม
3. ให้สิทธิ์ในการจัดการตัวเองมากขึ้น
ไม่มีใครชอบจอมบงการ ที่คอยจู้จี้จุจิกในทุกๆ เรื่อง ยิ่งคนเรารู้สึกมีอำนาจในการดูแลและตัดสินใจเรื่องที่ตัวเองดูแล รับผิดชอบมากเท่าไร เราก็จะยิ่งกระตือรือร้นมากขึ้นเท่านั้น แทนที่จะรวมอำนาจการตัดสินใจมากระจุกไว้ที่ศูนย์กลางเหมือนเมื่อก่อน
ลองกระจายความรับผิดชอบ มอบอิสระ และให้ความเชื่อมั่นกับสมาชิกในทีมให้มากขึ้น เพิ่มโอกาสให้พวกเขาได้ทดลองสิ่งใหม่ๆ จัดการเวลาชีวิตของตัวเอง และมีอำนาจตัดสินใจมากขึ้น สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ “ความเครียดตัวร้าย” ที่เกิดจากการถูกจับตามองในทุกฝีก้าว เปลี่ยนเป็น “ความเครียดตัวดี” ที่จะทำให้พวกเขาพัฒนาตัวเอง ให้เก่งขึ้น สมกับความไว้วางใจที่คุณมอบให้นั่นเอง
ที่มา
https://bit.ly/3ok6coZ