คลัง ขอเลื่อนเก็บภาษีขายหุ้นชั่วคราว ภาวะเศรษฐกิจไม่เหมาะเก็บภาษี ถูกกระทบจากสงครามและโควิด แต่มีความพร้อมจัดเก็บภาษีนี้ เชื่อหากเก็บไม่กระทบตลาด
สถานการณ์สงครามรัสเซียกับยูเครน และการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ยังยืดเยื้อ ได้ส่งผลให้ให้กระทรวงการคลังประกาศเลื่อนจัดเก็บภาษีการขายหุ้น (Transaction Financial Tax) ออกไปชั่วคราว เพราะเป็นประเด็นที่ส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจของไทย
นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า หลังจากที่กระทรวงการคลังมีนโยบายที่จะเข้าจัดเก็บภาษีการขายหุ้น (Transaction Financial Tax) แต่เนื่องจากขณะนี้ สถานการณ์ยังไม่เหมาะสม จึงขอเลื่อนการใช้นโยบายดังกล่าวออกไป
เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ ได้รับผลกระทบทั้งจากสงครามรัสเซียกับยูเครน และการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน ทำให้อาจจำเป็นต้องชะลอการจัดเก็บภาษีตัวนี้ออกไปอีกสักระยะหนึ่ง แต่หากถามถึงความพร้อมในการจัดเก็บภาษีตัวนี้ กระทรวงการคลังมีความพร้อม
ส่วนในประเด็นเรื่องอัตราการจัดเก็บนั้น ตนคิดว่า ไม่น่าจะมีผลกระทบมากนักเมื่อเทียบกับประเทศอื่น บางประเทศเก็บน้อยกว่าไทย บางประเทศเก็บมากกว่า และขณะที่บางประเทศเก็บเป็นแบบ capital gain ไม่ได้เก็บจากการขาย อีกทั้งเชื่อว่าในแง่อัตราการจัดเก็บภาษีส่วนนี้ ไม่น่าจะมีผลกระทบต่อตลาดมากนัก และเข้าใจว่าคนที่อยู่ในตลาดนี้มีรายได้ค่อนข้างสูง
นอกจากนี้กระทรวงการคลัง มีกฎหมายออกมาให้เก็บภาษีตัวนี้ตั้งแต่ปี 2535 แต่กระทรวงการคลังได้ยกเว้นมาโดยตลอดเพื่อสนับสนุนการพัฒนาของตลาดหลักทรัพย์ ที่ช่วงนั้นมูลค่าตลาดอยู่ที่ราว 7 -8 แสนล้านบาท แต่วันนี้มูลค่าตลาดสูงถึง 16 ล้านล้านบาท หรือพอๆกับขนาดของจีดีพี
ด้านนางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ โฆษกกรมสรรพากร กล่าวว่า หากมีการเลื่อนการจัดเก็บภาษีการขายหุ้นออกไป ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อรายได้ของกรมสรรพากรในปีงบประมาณ 2565 เนื่องจากกรมสรรพากรยังไม่ได้นำรายได้สว่นนี้เข้ามารวมในประมาณการรายได้ของกรมในปีงบประมาณดังกล่าว
ทั้งนี้ในปีงบประมาณปี 2565 มีเพียงรายได้จากจากภาษี e-service ที่กรมได้นำมารวมเป็นประมาณการรายได้ของกรม ซึ่งเดิมกรมฯคาดว่าจะมีรายได้จากภาษี e-service ในปีงบประมาณนี้ที่ 5,000 ล้านบาท ขณะนี้ได้ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 8,000 ล้านบาท ถึง 10,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ก่อนหน้านี้กรมสรรพากร ได้เคยศึกษาว่า หากต้องจัดเก็บภาษีการขายหุ้นตามที่กฎหมายกำหนดไว้ที่ 0.11 %ของยอดขาย จะส่งผลกระทบอย่างไรต่อนักลงทุนในตลาด โดยพบว่า นักลงราว 80 % จะไม่ได้รับผลกระทบเพราะมูลค่าการขายต่อเดือนไม่เกิน 1 ล้านบาท
สำหรับอัตราการจัดเก็บนั้น ถูกกำหนดไว้ในประมวลรัษฎากรอยู่แล้วที่ 0.1% ของการขาย บวกกับภาษีท้องถิ่นอีก 10 % รวมเป็น 0.11% แต่ภาษีตัวนี้ได้รับการยกเว้นมานานถึง 30 ปีแล้ว
โดยอัตราที่จัดเก็บดังกล่าวเป็นอัตราที่ต่ำโดยคิดเฉพาะส่วนเกินของวงเงินที่ได้รับการยกเว้น เช่น หากวงเงินการขายเกินมา 1 พันบาท จะเสียภาษีเพียง 1 บาทเศษ ถ้าวงเงินการขายเกินมา 1 ล้านบาท จะเสียภาษีเพียง 1 พันบาทกว่าเท่านั้น ดังนั้น จึงถือว่า ภาระภาษีไม่ได้มาก โดยเฉพาะภาระที่เกิดกับนักลงทุนรายใหญ่ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูง