เป็นเวลาเกินกว่า 1 เดือนแล้ว ที่ประเทศจีนระงับการนำเข้าน้ำเชื่อมจากประเทศไทย โดยหน่วยงานความปลอดภัยด้านอาหารส่งออก-นำเข้าของจีน (The Food Safety Bureau of The General Administration of Customs of The People’s Republic of China: GACC) ได้สั่งระงับ น้ำเชื่อม หรือ Syrup และ น้ำตาลผสมล่วงหน้า หรือ Premixed Powder จากไทยตั้งแต่วันที่ 10 ธันวาคม 2567 โดยอ้างว่าพบความเสี่ยงด้านความปลอดภัยจากผู้ผลิตในประเทศไทย
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้สร้างผลกระทบให้กับผู้ประกอบการผลิตน้ำเชื่อมและน้ำตาลผสมล่วงหน้าในไทยจำนวนมาก บางรายถึงขนาดที่เรือสินค้าไปถึงจีนแล้วแต่ขึ้นท่าไม่ได้ จีนถือเป็นตลาดส่งออกหลักของสินค้าชนิดนี้ และเมื่อเวลาล่วงเลยมาเกิน 1 เดือนยังไม่มีทีท่าว่า ทางการจีนจะปลดล็อคการระงับการนำเข้าน้ำเชื่อมจากไทยได้เมื่อไหร่ ทำให้มีความเป็นห่วงว่าปัญหานี้อาจส่งผลกระทบลามไปทั้งอุตสาหกรรมน้ำตาลทรายทั้งระบบหรือไม่?
SPOTLIGHT ได้รับข้อมูลจากกลุ่มผู้ประกอบการผลิตน้ำเชื่อมในประเทศไทย ที่ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ SPOTLIGHT Live Talk เล่าถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ผลกระทบ และแนวทางออกของปัญหานี้
ความเห็นของผู้ประกอบการที่พูดคุยกับ SPOTLIGHT คุณทศพร เรืองพัฒนานนท์ นายกสมาคมอุตสาหกรรมน้ำตาลแปรรูป มองว่า โรงงานทุกโรงของประเทศไทยจะต้องลงทะเบียนกับ GACC ที่จีนอยู่แล้ว ดังนั้นการควบคุมคุณภาพของสินค้าทั้งระบบสามารถทำได้โดยทางการจีนโดยตรง เพราะเพียงแค่เค้าลงบันทึก หรือยกเลิกหมายเลขทะเบียนดังกล่าวผู้ประกอบการรายนั้นๆก็ไม่สามารถส่งออกไปจีนได้แล้ว
ที่สำคัญทางสมาคมฯได้มีการตรวจสอบกันเองพบว่า มีผู้ประกอบการ 2 รายจากผู้ประกอบการทั้งหมด 44 ราย คิดเป็น4.55% ที่เข้าข่ายจะมีปัญหาเรื่องคุณภาพสินค้า หากทางการจีนระงับใบอนุญาตของสองรายนี้ก็สามารถทำได้ แต่ขณะนี้โรงงานเกรด เอ ที่ไม่เคยมีประวัติเรื่องคุณภาพสินค้ามาก่อนเลยต้องถูกผลกระทบไปด้วยทั้งหมด ทั้งที่หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถเรียกให้ทางสมาคมฯเข้าชี้แจงได้ทันที ดังนั้นการที่ทางการจีนเลือกที่จะแบนด์โรงงานที่เหลือทั้ง 42 โรงโดยไม่ได้พิจารณา ประวัติการส่งออกที่ดี ของโรงงานเหล่านี้ ย่อมเป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผลแน่นอน
“ธุรกิจน้ำตาลเป็นธุรกิจของคนที่มีเครดิต ในวงการสูงมาก ซื้อขายกันปีละหลายร้อยล้านต่อปีต่อราย ที่สำคัญโรงงานเหล่านี้ รักษาประวัติของตัวเองอย่างดีมาตลอด นอกจากนี้โรงงานเหล่านี้ยังสร้างผลประโยชน์ ทำรายได้จากการส่งออกเข้าประเทศไทยปี ละหลายหมื่นล้าน รวมทั้งซื้อสินค้าจากโรงงานในไทยในปริมาณมหาศาล การช่วยเหลือแก้ปัญหาให้โรงงานในกลุ่มของพวกเราจึงจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติโดยตรง อยู่แล้ว ส่วนโรงงานที่มีปัญหาทางสมาคมก็จะดำเนินการตรวจสอบอย่างเข้มงวด จนกว่าจะได้ข้อยุติ ในลำดับถัดไป”คุณทศพร ให้ข้อมูลกับ SPOTLIGHT
ข้อมูลจากที่ทางสมาคมอุตสาหกรรมน้ำตาลแปรรูป อ้างอิงจากกระทรวงพาณิชย์ พบว่า น้ำเชื่อมเป็นผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปมาจากน้ำตาลทราย และประเทศไทยส่งออกไปในต่างประเทศจำนวนมาก การที่สินค้าน้ำเชื่อมไม่สามารถส่งออกไปยังตลาดหลักเช่นจีนได้ อาจส่งกระทบต่ออุตสาหกรรมน้ำตาลทรายทั้งระบบของไทย และอาจสร้างความผันผวนให้กับตลาดโลกได้เช่นกัน เนื่องจากไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำตาลทรายรายใหญ่ติด Top 3 ของโลก โดยเบอร์ 1 คือ บราซิล รองลงมา เป็นไทยกับอินเดียสลับสถานะกันไปมา
ในปี 2567 ประเทศไทยสามารถผลิตน้ำตาลได้ทั้งหมด 8.5 ล้านตันหรือเทียบเท่ากับอ้อย 85 ล้านตัน ในจำนวนนี้ 58.82% ถูกส่งออกเป็นน้ำตาลทรายและน้ำตาลดิบ คิดเป็นปริมาณ 5 ล้านตัน ส่วนอีก 17.65% เป็นการใช้ในภาคครัวเรือนหรือคิดเป็น 1.5 ล้านตันสัดส่วนที่ใช้ในอุตสาหกรรมแปรรูปอยู่ในสัดส่วน 11.76% หรือ 1,000,000 ตันเท่ากับสัดส่วนที่ใช้ในอุตสาหกรรมในประเทศทั้งหมด
ผลกระทบในภาพรวมของอุตสาหกรรมน้ำตาล กับการที่สินค้าทั้งสองประเภทนี้ถูกแบนจะมีผลกับราคาน้ำตาล และธุรกิจที่เกี่ยวข้องในภาพรวม กล่าวคือ ถ้านับจากปริมาณน้ำตาลที่เราใช้ต่อปีคือ 1 ล้านตันในปี 2567 ซึ่งเทียบเท่ากับน้ำตาลที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารของประเทศเราทั้งประเทศ ก็คือ 1 ล้านตันเท่ากัน การที่คาดการณ์ว่าผลผลิตน้ำตาลในประเทศไทยจะเพิ่มขึ้นในปี 2568 เป็น 10.6ล้านตัน เพิ่มขึ้นมากถึง 20% ของปี 2567 แต่กำลังการซื้อกลับลดลงมากถึง 12% ย่อมมีผลกระทบต่อราคาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อาจมีผลต่อการกำหนดราคาของ กอน.(คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย) และอาจกระทบราคารับซื้ออ้อยต่อตันที่ลดลงได้อีก มีผลต่อชาวไร่อ้อยไม่น้อยกว่า 2แสนครัวเรือนทั่วประเทศแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น ธุรกิจที่เกี่ยวข้องเช่นการขนส่งจะมีปริมาณเที่ยวที่หายไปไม่ต่ำกว่า 31,250 เที่ยวต่อปี คิดเป็นเงินไม่ต่ำกว่า 200 ถึง 300ล้านบาท การจัดเก็บภาษีเงินได้ของภาครัฐก็จะลดลงไม่ต่ำกว่า อีก1200ล้านบาทโดยประมาณ
ขณะที่วันจันทร์ที่ 20 มกราคม 2568 เวลา 14.30 น. กรรมมาธิการเศรษฐกิจ เชิญสมาคมฯชี้แจ้งข้อเท็จจริงที่รัฐสภาโดยผู้ประกอบการมีความหวังว่า ปัญหาสินค้าน้ำเชื่อมจากไทยโดนแบนในตลาดจีนจะได้รับการแก้ปัญหา
ซึ่งคุณทศพร และผู้ประกอบการมองตรงกันว่า สิ่งที่อยากให้ภาครัฐฯสนับสนุนในอนาคตคือ การส่งเสริมให้อุตสาหกรรมน้ำตาลแปรรูปสามารถขยายตลาดไปยังประเทศอื่นๆได้มากขึ้น เพราะเชื่อว่า ยังมีความต้องการจากตลาดทั่วโลกอีกมาก จากการสำรวจเชิงวิเคราะห์พบว่ายังมีมาร์เก็ตแคปยู่อีกหลายประเทศการช่วยเหลือดังกล่าวนอกจากจะเป็นสร้างรายได้จากการส่งออกให้ประเทศแล้ว ยังจะเป็นช่องทางการขายสินค้า ที่มีการแปรรูป และการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตรของไทยในอนาคต
ต้องจับตาการแก้ปัญหากันต่อไปแต่ที่แน่ๆ ตอนนี้นอกจากน้ำเชื่อมแล้ว ทุเรียนจากไทย ที่นำเข้าไปยังจีัน ก็กำลังถูกตรวจสอบคุณภาพ มาตรฐานความปลอดภัย จาก หน่วยงาน GACC ของจีนด้วยเช่นกัน
ติดตามการสัมภาษณ์แขกรับเชิญที่เป็นผู้ประกอบการในธุรกิจน้ำเชื่อมและน้ำตาลผสมล่วงหน้าในรายการ SPOTLIGHT Live Talk วันอังคารที่ 21 ม.ค.68 เวลา 20.00 น. ทางYoutube และ Facebook อมรินทร์ทีวี และ SPOTLIGHT