จีนปัดข่าวลือเจรจาทรัมป์ ย้ำยังไม่ได้คุยกัน ชี้สหรัฐฯควรยกเลิกภาษีก่อน
กระทรวงพาณิชย์จีนแถลงเมื่อวันนี้ (24 เม.ย.) ว่า ปัจจุบันยังไม่มีการเจรจาการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ พร้อมย้ำว่าข่าวเกี่ยวกับความคืบหน้าของการเจรจาทวิภาคีนั้น “ไม่มีมูลความจริง” แต่อย่างใด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
นอกจากนี้ จีนยังคงแสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อสหรัฐฯ โดยเรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐฯ ยกเลิกภาษีนำเข้าฝ่ายเดียวทั้งหมดที่บังคับใช้กับสินค้าจีน และยืนยันว่า ยังไม่มีการเจรจาใดๆ เกี่ยวกับข้อตกลงการค้า แม้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะเริ่มลดระดับคำวิจารณ์ต่อจีนลงก็ตาม
เหอ ย่าตง โฆษกกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า “หากสหรัฐฯ ต้องการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ควรรับฟังเสียงจากประชาคมระหว่างประเทศและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายในประเทศ ยกเลิกมาตรการภาษีฝ่ายเดียวทั้งหมดที่บังคับใช้กับจีน และเปิดการเจรจาบนพื้นฐานของความเสมอภาค”
ทรัมป์อ้าง “มีการติดต่อหลายครั้งจากจีน” แต่เลี่ยงตอบคุยกับสี จิ้นผิงโดยตรงหรือไม่
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 18 เมษายน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า จีนได้ติดต่อมา “หลายครั้ง” เพื่อขอเปิดการเจรจา โดยเขาเชื่อว่าผู้ที่ติดต่อเข้ามานั้นเป็นตัวแทนของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ไม่ได้ตอบตรงๆ ว่าเคยพูดคุยกับผู้นำจีนโดยตรงหรือไม่
“ผมมีความสัมพันธ์ที่ดีมากกับประธานาธิบดีสี และผมคิดว่าความสัมพันธ์นี้จะดำเนินต่อไปได้ด้วยดี” ทรัมป์กล่าว พร้อมเสริมว่า “ผมบอกได้เลยว่าพวกเขาติดต่อมาแล้วหลายครั้ง”
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า การติดต่อมาจากประธานาธิบดีสีโดยตรงหรือผ่านเจ้าหน้าที่ของจีน ทรัมป์ตอบว่า “ก็เหมือนกัน ผมมองว่าไม่ต่างกัน เพราะเจ้าหน้าที่ที่ติดต่อมาคือระดับสูงของจีน”
ทรัมป์ยังกล่าวอีกว่า “ถ้าคุณรู้จักเขา คุณจะรู้ว่า ถ้ามีการติดต่อเกิดขึ้น เขาต้องรู้แน่นอน เขาควบคุมทุกอย่างได้แน่นหนา เขาฉลาด และแข็งแกร่งมาก”
เมื่อต้นสัปดาห์เดียวกัน ทรัมป์ระบุว่า กำลังพิจารณาทบทวนมาตรการภาษีสินค้านำเข้าจากจีนที่บังคับใช้ตั้งแต่ต้นวาระที่สอง โดยระบุว่าเจ้าหน้าที่จีนเริ่มติดต่อกับวอชิงตัน เพื่อเปิดทางสู่การเจรจา
“บางทีเราอาจจะได้ข้อตกลงพิเศษบางอย่าง เดี๋ยวก็รู้กันว่าจะเป็นอย่างไร ตอนนี้เรากำลังเก็บภาษีอยู่ที่ 145% ซึ่งถือว่าสูงมาก” ทรัมป์กล่าวเมื่อวันพุธ
ด้านรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ สก็อตต์ เบสเซนต์ ให้ข้อมูลกับนักลงทุนเมื่อวันอังคารว่า ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนอาจใกล้ถึงจุดพีคแล้ว
“ไม่มีใครเชื่อว่าสถานการณ์ที่มีอัตราภาษีอยู่ที่ 145% และ 125% จะยั่งยืนได้ในระยะยาว” เบสเซนต์กล่าว พร้อมระบุว่า “ตอนนี้เรากำลังอยู่ในภาวะที่แทบไม่ต่างจากการคว่ำบาตรซึ่งกันและกัน”
ทั้งนี้ สหรัฐฯ ได้เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในอัตราสูงสุดถึง 145% ในบางรายการ ขณะที่จีนตอบโต้ด้วยภาษี 125% ซึ่งสะท้อนความตึงเครียดทางการค้าที่กลับมาอีกครั้งในยุคทรัมป์สมัยที่สอง
ความตึงเครียดลุกลามสู่ความสัมพันธ์ทางทหาร
นอกเหนือจากประเด็นการค้า กระทรวงกลาโหมจีนยังได้แสดงความไม่พอใจต่อท่าทีของสหรัฐฯ โดยโฆษกกระทรวง นายจาง เสี่ยวกัง กล่าวในการแถลงข่าวว่า มุมมองที่ “มีอคติ” ของบางบุคคลในสหรัฐฯ เป็นอุปสรรคต่อการแลกเปลี่ยนระหว่างกองทัพของทั้งสองประเทศ พร้อมระบุว่าสหรัฐฯ ไม่ควร “หวาดระแวง” ต่อสิ่งที่เรียกว่า “ภัยคุกคามทางทหารจากจีน”
ก่อนหน้านี้ไม่กี่ชั่วโมง นายพาน กงเชิง ผู้ว่าการธนาคารกลางจีน (PBOC) ได้แสดงความกังวลต่อผลกระทบของความขัดแย้งทางการค้าระหว่างประเทศ โดยเตือนว่า ความไม่ลงรอยกันเหล่านี้อาจบ่อนทำลายความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจโลก
“ทุกฝ่ายควรเพิ่มความร่วมมือ และพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้เศรษฐกิจโลกถลำเข้าสู่เส้นทางที่เต็มไปด้วย ‘ความขัดแย้งสูง ความเชื่อใจต่ำ’” นายพานกล่าวระหว่างการประชุม G20 ที่กรุงวอชิงตันเมื่อวันพุธ ตามรายงานของสถานีโทรทัศน์ CCTV ของจีน
นายพานเป็นหนึ่งในสมาชิกระดับสูงของคณะผู้แทนจีนที่เข้าร่วมการประชุมประจำปีของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารโลกในกรุงวอชิงตันในสัปดาห์นี้ ซึ่งมีการหารือร่วมกับเจ้าหน้าที่จากสหรัฐฯ สหภาพยุโรป และสมาชิก G20 อื่นๆ
โอกาสพบหน้าครั้งแรก นับตั้งแต่การขึ้นภาษีครั้งใหญ่
แม้การประชุม IMF และธนาคารโลกจะเป็นเวทีแรกที่เจ้าหน้าที่เศรษฐกิจระดับสูงของจีนมีโอกาสพบกับฝ่ายสหรัฐฯ นับตั้งแต่ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนอย่างรุนแรงเมื่อต้นเดือน แต่จนถึงขณะนี้ ทั้งสองฝ่ายยังไม่มีการประกาศจัดประชุมแบบทวิภาคีใดๆ
แม้ทรัมป์จะลดระดับการแสดงความแข็งกร้าวต่อจีนลง แต่ยังไม่มีสัญญาณว่าความเคลื่อนไหวดังกล่าวจะเพียงพอให้เกิดการเจรจาอย่างเป็นทางการ
นายพานกล่าวย้ำว่า “ไม่มีผู้ชนะในสงครามการค้า” และจีนจะยังคงเปิดกว้างต่อโลกภายนอก พร้อมยึดมั่นในหลักการค้าเสรี และระบบการค้าพหุภาคี
