วันนี้(16 ก.ย.) ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 33.21 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น” จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ 33.33 บาทต่อดอลลาร์ นับตั้งแต่ช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา เงินบาททยอยแข็งค่าขึ้น (แกว่งตัวในกรอบ 33.20-33.39 บาทต่อดอลลาร์) ตามจังหวะการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ที่หนุนให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ (All-Time High) หลังผู้เล่นในตลาดต่างเชื่อว่า เฟดยังมีโอกาสเร่งลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายนนี้
โดยสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลง หลังบรรดาอดีตเจ้าหน้าที่เฟดและอดีตที่ปรึกษาประธานเฟดออกมาสนับสนุนการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุม FOMC เดือนกันยายนที่จะถึงนี้ และสัปดาห์นี้ ประเมินว่า ควรระวังความผันผวนในตลาดการเงินที่จะสูงขึ้น ในช่วงตลาดรับรู้ ผลการประชุมบรรดาธนาคารกลางหลัก ทั้ง เฟด BOE และ BOJ
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยกับ SPOTLIGHT ว่า หากประเมินจากปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจไทย มองว่า เงินบาทอาจยังไม่สามารถแข็งค่าขึ้นจนถึงระดับ 32.00 บาทต่อดอลลาร์ได้ หรือแม้กระทั่งระดับ 33 บาทต่อดอลลาร์ จนกว่าจะเห็นการฟื้นตัวที่ดีขึ้นชัดเจนของทั้งภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว
รวมถึง ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่กลับมามั่นใจในแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยอีกครั้ง ซึ่งจะหนุนให้ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติเป็นปัจจัยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้ และหากเงินบาทจะสามารถแข็งค่าไปจนถึงระดับ 32 บาทต่อดอลลาร์ หรือแข็งค่ามากกว่านั้นได้
โดยปัจจัยภายนอกเป็นสำคัญ เช่น
โดยในกรณีของเงินเยนญี่ปุ่นนั้น หากอ้างอิงสถิติในช่วงปี 2008 ผู้เล่นในตลาดสามารถเพิ่มสถานะ Long JPY (มองเงินเยนแข็งค่า) พร้อมเดินหน้าลดสถานะ JPY Carry Trade เพิ่มเติม จนทำให้เงินเยนญี่ปุ่นมีโอกาสแข็งค่าทดสอบโซน 120 เยนต่อดอลลาร์ หรือ คิดเป็นการแข็งค่ากว่า -14% อย่างไรก็ดี หากเป็นภาพที่เฟดกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอย เงินบาทก็อาจไม่ได้แข็งค่าไปตาม หากบรรยากาศในตลาดการเงินอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง กดดันสินทรัพย์ในฝั่งตลาดเกิดใหม่ (EM)