จากเหตุการณ์จังหวัดเชียงใหม่ต้องเผชิญกับวิกฤตอุทกภัยครั้งใหญ่ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ภายใต้การนำของนายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธาน ส.อ.ท. ได้ลงพื้นที่สำรวจความเสียหาย และพบว่ามีผู้ประกอบการได้รับผลกระทบกว่า 100 ราย ความเสียหายมีตั้งแต่เครื่องจักร ระบบไฟฟ้า ไปจนถึงปัญหาการขนส่ง และการจัดหาวัตถุดิบ
เพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้น ส.อ.ท. ไม่เพียงแต่เร่งสำรวจความเสียหายเท่านั้น แต่ยังได้ประกาศมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการอย่างเร่งด่วน ครอบคลุมทั้งด้านการเงิน ภาษี ค่าธรรมเนียม และค่าสาธารณูปโภค พร้อมทั้งเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาวิกฤตการณ์ และพัฒนาระบบเตือนภัย เพื่อป้องกันและลดผลกระทบจากภัยพิบัติในอนาคต
สืบเนื่องจากสถานการณ์อุทกภัยที่ส่งผลกระทบต่อจังหวัดเชียงใหม่ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ภายใต้การนำของ นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธาน ส.อ.ท. ได้ดำเนินการสำรวจความเสียหายของสมาชิก ส.อ.ท. ในพื้นที่ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ลงพื้นที่จังหวัดเชียงรายเพื่อให้ความช่วยเหลือสมาชิกที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา
จากการรวบรวมข้อมูล ณ วันที่ 9 ตุลาคม 2567 พบว่ามีผู้ประกอบการที่เป็นสมาชิก ส.อ.ท. ในจังหวัดเชียงใหม่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยแล้วกว่า 100 ราย โดยสามารถจำแนกความเสียหายออกเป็น 4 ระดับ ดังนี้
ระดับที่ 1 เสียหายหนัก: จำนวน 23 บริษัท ได้รับความเสียหายต่อเครื่องจักร ระบบไฟฟ้าภายในอาคาร และอุปกรณ์สำนักงาน
ระดับที่ 2 เสียหายปานกลาง: จำนวน 17 บริษัท
ระดับที่ 3 ได้รับผลกระทบเล็กน้อย: จำนวน 36 บริษัท สามารถดำเนินการแก้ไขและฟื้นฟูได้ด้วยตนเอง
ระดับที่ 4 ได้รับผลกระทบทางอ้อม: จำนวน 52 บริษัท ไม่ได้รับความเสียหายโดยตรงจากน้ำท่วม แต่ได้รับผลกระทบในด้านอื่นๆ เช่น ปัญหาการขนส่ง การจัดหาวัตถุดิบ และการเดินทางของพนักงาน
เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ขอยืนยันความมุ่งมั่นในการให้ความช่วยเหลือ และบรรเทาความเดือดร้อนแก่สมาชิกผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ โดยได้ดำเนินการจัดทำมาตรการเยียวยาเพิ่มเติม ครอบคลุม 4 ด้านหลัก ดังต่อไปนี้
1.มาตรการด้านการเงิน
2. มาตรการด้านภาษีอากร
3. มาตรการด้านค่าธรรมเนียม
4. มาตรการด้านค่าสาธารณูปโภค
นายอิศเรศ ยังได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาภัยพิบัติและมลพิษทางอากาศ ซึ่งกำลังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงในช่วงปลายปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญของภาคธุรกิจท่องเที่ยว
ส.อ.ท. ได้เสนอแนะให้ภาครัฐพัฒนาระบบแจ้งเตือนภัยพิบัติที่มีความแม่นยำ และสามารถแจ้งเตือนภัยแบบเรียลไทม์ผ่านโทรศัพท์มือถือ เพื่อให้ประชาชนและภาคธุรกิจสามารถเตรียมความพร้อมรับมือได้อย่างทันท่วงที นอกจากนี้ ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ในการแก้ไขปัญหาการบุกรุกพื้นที่ป่า เพื่อรักษาพื้นที่ป่าต้นน้ำ และป้องกันปัญหาน้ำป่าไหลหลากและดินโคลนถล่ม ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของอุทกภัยในหลายพื้นที่
นายอิศเรศ กล่าวแสดงความกังวลว่า วิกฤตการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นอุทกภัย หรือปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่จะเกิดขึ้นตามมาในช่วงปลายปีจนถึงเดือนมกราคมปีหน้า ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจไทยอย่างรุนแรง ดังนั้น รัฐบาลจึงจำเป็นต้องเร่งหามาตรการ และวิธีการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน และกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวโดยเร็วที่สุด
สถานการณ์อุทกภัยในประเทศไทยยังคงเป็นประเด็นที่ต้องเฝ้าระวังและให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรม ซึ่งถือเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ สร้างรายได้ และจ้างงาน ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากน้ำท่วม ไม่เพียงแต่จะส่งผลต่อตัวเลขผลผลิต และการส่งออกเท่านั้น แต่ยังสร้างบาดแผลให้กับโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบไฟฟ้า ระบบขนส่ง และโรงงาน ซึ่งต้องใช้เวลา และทรัพยากรจำนวนมากในการฟื้นฟู
ส.อ.ท. ในฐานะองค์กรหลักที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของภาคอุตสาหกรรม ได้แสดงเจตนารมณ์อันแน่วแน่ในการยืนหยัดเคียงข้าง และให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ ไม่ว่าจะเป็นการลงพื้นที่สำรวจความเสียหาย ให้คำปรึกษา ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ หรือจัดหาสิ่งของบรรเทาทุกข์ นอกจากนี้ ส.อ.ท. ยังได้ผลักดันมาตรการเยียวยาที่ครอบคลุมในหลากหลายมิติ เช่น มาตรการด้านการเงิน การพักชำระหนี้ การลดหย่อนภาษี และการอำนวยความสะดวกด้านต่างๆ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการให้สามารถกลับมาดำเนินธุรกิจได้อีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาอุทกภัย และการฟื้นฟูประเทศอย่างยั่งยืน จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน โดยภาครัฐต้องมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาระบบการเตือนภัยล่วงหน้าที่มีประสิทธิภาพ สามารถแจ้งเตือนประชาชนได้อย่างรวดเร็ว และแม่นยำ เช่น การใช้เทคโนโลยี AI และ Big Data ในการวิเคราะห์ข้อมูล และพยากรณ์สถานการณ์น้ำท่วม รวมถึงการพัฒนาแอปพลิเคชันบนมือถือ ที่สามารถแจ้งเตือนภัย และให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนได้แบบเรียลไทม์
นอกจากนี้ การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ การสร้างเขื่อน อ่างเก็บน้ำ และระบบระบายน้ำ รวมถึงการส่งเสริมให้ประชาชนมีความรู้ ความเข้าใจ และเตรียมความพร้อมรับมือกับภัยพิบัติ ล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญในการลดทอนความเสียหาย และสร้างความมั่นคงให้กับประเทศในระยะยาว ส.อ.ท. มีความพร้อมที่จะประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพื่อนำพาภาคอุตสาหกรรม และเศรษฐกิจไทย ให้สามารถก้าวข้ามอุปสรรค และความท้าทายในครั้งนี้ไปได้ และพร้อมที่จะมีส่วนร่วมในการสร้างระบบ และมาตรการต่างๆ เพื่อป้องกัน และรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อให้อุตสาหกรรมไทยสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน และแข็งแกร่ง