การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2024 ถือเป็นการเลือกตั้งที่สำคัญของโลก ที่จะกระทบทั้งภาพสังคม และเศรษฐกิจ โดยเฉพาะปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ในส่วนของประเทศไทยนั้น ก็หนีไม่พ้นที่จะต้องได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน แล้วเศรษฐกิจไทยจะเป็นเช่นไร? และจะต้องเตรียมตัวและปรับตัวอย่างไรบ้าง?
วันนี้ SPOTLIHGT จะพามากับการวิเคราะห์ด้านเศรษฐกิจ การลงทุนในรายการพิเศษ Spotlight World : ศึกเลือกตั้งสหรัฐฯ 2024 คุณจะได้รู้ผลคะแนนแบบเรียลไทม์ทั้ง 50 รัฐของสหรัฐฯไปพร้อมกัน ทรัมป์ หรือ แฮร์ริส ใครจะได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯคนต่อไป?
โดยรศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง และดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ InnovestX จำกัด ให้มุมมองที่เข้มข้น
รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง กล่าวว่า ได้ให้น้ำหนักไปทางทรัมป์ ซึ่งถ้าเป็นทรัมป์ นโยบายจะเก็บภาษีนำเข้าทุกประเทศ 20% เล่นงานประเทศที่มีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งไทยอยู่ในนั้น และเล่นงานกับผู้เล่นกับเงินดอลลาร์ และเล่นงานจีน ซึ่งจะเกิดสงครามการค้ามาแน่ จะให้การค้าระหว่างสหรัฐกับจีนหายไป 90% ร้ายกว่านั้นจะส่งผลให้จีดีพีจาก 4-5% เหลือ 2% สำคัญมาก ซึ่งกระทบกับไทยแน่นอน เพราะไทยจีน ทั้งส่งออก 12% การท่องเที่ยว 20% และการลงทุนจีนที่เข้ามา
โดย IMF มองความท้าทายที่สุด เมื่อทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดี : สงครามเศรษฐกิจ
2. ความไม่แน่นอนทางการค้าเพิ่มสูงขึ้น :
3. การลดภาษีนิติบุคคลของสหรัฐฯ :
4. การเคลื่อนย้ายแรงงานเข้าสู่สหรัฐฯ และยุโรป :
5. สภาวะการเงินโลก :
1. ผลกระทบด้านลบต่อเศรษฐกิจโลก การค้า และความไม่แน่นอน
2. นโยบายการเงินสหรัฐฯ เข้มงวดขึ้น เนื่องจากเงินเฟ้อจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
3. หนี้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ทำให้กังวลเรื่องความยั่งยืนของหนี้
1. ตลาดเกิดใหม่ (ยกเว้นจีน) : พรีเมียมพันธบัตรรัฐบาลเพิ่ม 0.50%
2. ประเทศพัฒนาแล้ว และจีน : Term Premium พันธบัตรรัฐบาลเพิ่มขึ้น 0.40% , ยุโรป 0.25% และพรีเมี่ยมหุ้นกู้บริษัทเพิ่ม 0.50%
3. ตลาดเกิดใหม่อื่นๆ : พรีเมียมหุ้นกู้บริษัท เพิ่ม 1.00%
ขณะที่ ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ InnovestX จำกัด กล่าวว่า IMF คาดว่าปีหน้าเศรษฐกิจโลกแย่ลง จากปัญหาระหว่างสหรัฐฯ ยุโรป จีน เชื่อว่าจะมีการตอบโต้กัน จะทำให้การค้าแย่ลง ซึ่ง IMF คาดการณ์ว่าปีหน้าไว้ลดลงไป 0.8% จาก 3.2% เหลือ 2.4% จะกระทบส่งออกไทยเป็นหลัก มองว่าปีหน้าส่งออกไทยไม่โต จากเศรษฐกิจโลกชะลอลง ซึ่งทรัมป์มาคาดว่าส่งออกจะติดลบ 1.9% ปีหน้าติดลบ 3% มองเศรษฐกิจไทยชะลอตัวลงโตเหลือเพียง 2.5%
รศ.ดร.สมชาย กล่าวว่า เมื่อทรัมป์มานั้น ไทยต้องเตรียมรับมือ เพราะเขาเล่นงานเราแน่ เล่นงานทีละประเทศ เขาไม่มีมิตร หรือศัตรู เขาเล่นงานทีละประเทศ เราต้องเตรียมการเจรจาไว้ เรื่องของการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด และเราไม่ได้อยู่ฝ่ายใด เศรษฐกิจไทยชะลอตัวไปบ้าง ไทยต้องปรับตัว ทั้งการส่งออกต้องทำการบ้านมากขึ้น และสงครามรัสเซีย ยูเครน ไทยต้องหาตลาดส่งออกใหม่ๆ และเพิ่มการลงทุนใช้ฐานการผลิตของประเทศนั้นๆ เพื่อได้ประโยชน์จาก FTA
นอกจากนี้ สหรัฐฯ จะต้องเล่นงานจีนด้วยการขึ้นกำแพงภาษีสินค้า ทำให้จีนเปลี่ยนมาส่งออกที่ไทยเพิ่มขึ้น คนไทยคงต้องเกรงใจจีนน้อยลง จำเป็นต้องดำเนินการต่อต้านการอุดหนุน ต่อต้านการทุ่มตลาด เมืองไทยต้องปรับสินค้าให้มีคุณภาพและขยายตัวต่อไปได้ รัฐบาลจำเป็นต้องปรับประสิทธิภาพ และคุณภาพสินค้าเหล่านี้ และให้ได้ตามมาตรฐานโลก และสินค้าที่เกี่ยวข้องกับโลกร้อน
ดร.ปิยศักดิ์ ระบุว่า ไม่ว่าใครจะเป็นประธานาธิบดี สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ และชาติตะวันตกก็จะมีมากขึ้น เนื่องจากสหรัฐฯ ต้องการหยุดหนทางที่ทำให้จีนขึ้นมาเป็นมหาอำนาจด้านเศรษฐกิจ จีนจึงปรับกลยุทธ์หันมาสนับสนุนภาคการผลิตและส่งออก แต่ไม่สนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจีนได้ผลิตสินค้ามากกว่าความต้องการภายในประเทศ เช่น ผลิตรถ EV ได้ 40 ล้านคันต่อปี แต่มีความต้องการเพียง 22 ล้านคัน หรือผลิตโซลาเซลล์ 750 กิกะวัตต์ ขณะที่มีความต้องการเพียง 220 กิกะวัตต์ จะยิ่งทำให้จีนยิ่งต้องกดราคาสินค้าส่งออก และนำไปสู่ความเสี่ยงสงครามการค้ามากขึ้นในอนาคต
ดร.ปิยศักดิ์ ชี้ว่า ถ้าทรัมป์มานั้น สินทรัพย์ต่างๆ ตลาดหุ้นก็จะเป็นอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน เชื้อเพลิง การบริโภค จะไปได้ดีระดับหนึ่ง และจับตาว่าเอาใครมาเป็นรมว.คลัง แต่ไม่ว่าทรัมป์ แฮรริส ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์เพิ่มมากขึ้น ส่งผลต่อราคาทองคำมีโอกาสที่จะไปถึงระดับ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อทรอยออนซ์ และธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลกสะสมทองคำมากขึ้น
โดยราคาทองคำพุ่งทะย่นขึ้น 38% ในปีที่ผ่านมาแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่กว่า 2,700 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ สะท้อนความกังวลต่อสถานการณ์เศรษฐกิจและการเมืองโลกที่เพิ่มสูงขึ้น โดยความนิยมในการซื้อทองคำเพิ่มขึ้นอย่างแพร่หลายไปถึงร้านค้าปลีก อย่าง Costco และร้านสะดวกซื้อในเกาหลีใต้