ในช่วงต้นเดือน ธ.ค. หนึ่งในข่าวที่มาแรง คือการมาเยือนไทยของ ‘เจนเซ่น หวง’ CEO และ ผู้ก่อตั้ง NVIDIA บริษัทเทคยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน ‘เจนเซ่น หวง’ได้เดินทางต่อไปยังประเทศเวียดนาม พร้อมประกาศจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาแห่งใหม่ในเวียดนามซึ่งเน้นด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI)
และแม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่บริษัทระดับโลกหันไปเลือกลงทุนที่ ’เวียดนาม’ ไม่ใช่ประเทศไทยของเรา แต่ก็ทำเอาแฟนต่างตกใจว่าทำไมพวกเขาไม่เลือกเรา เรามีข้อผิดพลาดตรงไหน เวียดนามมีดีอะไรกว่าเรา และที่สำคัญ คือ ไทยจะรับมืออย่างไรเมื่อเวียดนามกำลังก้าวขึ้นเป็นผู้นำเศรษฐกิจแห่งอาเซียน ?
บทความนี้ SPOTLIGHT ได้สรุปสาระสำคัญ มาจาก ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ (ดร.เอ้) นายกสภามหาวิทยาลัยซีเอ็มเคแอล อดีตอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กับ ถอด 4 บทเรียน หลัง NVIDIA เลือกลงทุน ‘เวียดนาม’ ไทยต้องเรียนรู้อะไร ไม่ให้ตกขบวน AI ?
ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ (ดร.เอ้) ได้มีการวิเคราะห์เชิงลึกผ่านบัญชี X ถึงปรากฏการณ์สำคัญที่ NVIDIA บริษัทยักษ์ใหญ่ด้าน AI ระดับโลก เลือกลงทุนในเวียดนาม พร้อมตั้งคำถามชวนคิดว่า “ ไทยจะรับมืออย่างไรเมื่อเวียดนามกำลังก้าวขึ้นเป็นผู้นำเศรษฐกิจแห่งอาเซียน” พร้อมเผย 4 เหตุผลสำคัญที่ทำให้บริษัทระดับโลกหันไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน
ดร.เอ้ ได้เล่าถึงประสบการณ์ส่วนตัวที่เคยมีเพื่อนชาวเวียดนามสมัยเรียน MIT และทั้งเคยสอนเด็กเวียดนามที่มาเรียนวิศวะลาดกระบัง ซึ่งสามารถพูดได้เต็มปากว่า "เด็กเวียดนาม" ฉลาด เก่ง และขยันมาก ทั้งคะแนนวัดผล PISA ชี้ชัดว่าเด็กเวียดนามได้คะแนนสูงที่สุดในอาเซียน เป็นรองเพียงเด็กสิงคโปร์เท่านั้น
นอกจากนี้ เวียดนามยังส่งเด็กรุ่นใหม่ ไปเรียนในสาขา "วิศวกรรม และคอมพิวเตอร์" ในมหาวิทยาลัยระดับโลก ทั้งสหรัฐ ยุโรป และรัสเซีย มากกว่าชาติใดในอาเซียน เพื่อกลับมาสร้าง "นวัตกรรม" พัฒนาเวียดนามสู่โลก AI เต็มรูปแบบ
ทั้งหมดนี้เป็นบทพิสูจน์ ว่าเวียดนามได้ทุ่มเท พัฒนาคุณภาพคน ตั้งแต่ อนุบาลถึงปริญญาเอก จึงไม่แปลกที่บริษัทไฮเทค ทั้ง NVIDIA Apple และ Samsung ถึงยอมมาลงทุนที่เวียดนาม เพราะได้ “คนเก่งที่คุ้มค่ามาก” เมื่อเปรียบเทียบกับ "ค่าจ้าง"
ดร.เอ้ ได้ยกตัวอย่างของรัฐบาลเวียดนาม ได้มีการ ดึงดูดทุนต่างชาติ โดยใช้วิธี "วันนี้ฉันยอมเธอก่อน" วันหน้าฉันทำได้เอง แล้วค่อยว่ากัน จากประเทศจีน โดยมีการสนับสนุน ให้สิทธิพิเศษมากมาย พอบริษัทไฮเทคมาลงทุน "สร้างโรงงาน" "สร้างศูนย์วิจัย" ให้ SME เวียดนามได้เป็น "ผู้จัดหาของ หรือ Supplier" หลังจากนั้นพอประชากรมีความรู้ และมีความสามารถเพียงพอแล้ว ก็มีการสนับสนุนให้ชาวเวียดนามทำเอง เช่น การเลียนแบบในกรณีที่จีนยอมเสนอให้ Tesla มาตั้งโรงงาน เพื่อให้ SME จีนเรียนรู้ สุดท้ายจีนกลายเป็น "เจ้าตลาด" รถพลังงานไฟฟ้า ไปเรียบร้อย
ปฎิเสธไม่ได้ไม่ได้เลยว่า สำหรับนักลงทุนต่างชาติ ที่เข้ามาลงทุนในประเทศนั้นๆ หนึ่งสิ่งที่มีความสำคัญอย่างมากคือ การเมืองที่ต้องนิ่งและมั่นคง ที่ไม่ว่า "ผู้นำ" จะเป็นใคร "นโยบายเวียดนามไม่เปลี่ยน" เพราะอะไรที่ดีต่อประเทศชาติ ยังไงก็ต้อง "สานต่อ"
นโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจ 1986 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเศรษฐกิจเวียดนาม เปิดประเทศให้กับการลงทุนจากต่างชาติ นโยบายเดินไปอย่าง "ต่อเนื่อง"
ยิ่งเวียดนามเข้าร่วมองค์การการค้าโลก (WTO) ในปี 2007 ซึ่งช่วยเสริมความมั่นใจให้แก่นักลงทุนต่างชาติ เวียดนามได้จัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ (Economic Zones) ตามแบบจีน ยิ่งเกิดการลงทุนแบบก้าวกระโดด จนถึงทุกวันนี้
โดย ดร.เอ้ ได้มีการเปรียบเทียบกับประเทศไทย ว่า แนวคิด "สานต่อ" ไม่ค่อยเห็นใน "สังคมไทย" เราดีแค่ไหน คนใหม่มา เขาก็อยากเปลี่ยน อยากทำแบบของเขา สุดท้ายองค์กร "เสียหาย" ไม่พัฒนาต่อเนื่อง หากไม่เปลี่ยน "ทัศนคติ" ประเทศไทยสู้คนอื่นยาก
เวียดนาม เป็นประเทศสังคมนิยม ที่บอบซ้ำจากสงครามยาวนาน เนื่องจากเคยเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส และเคยอยูใต้อิทธิพลของจีนมานานนับพันปี แต่วันนี้ผงาดขึ้นเป็นประเทศที่เติบโตเร็วที่สุด ทั้ง "ด้านเศรษฐกิจ" เพราะรู้ว่า "ทางรอด" มีทางเดียว คือ "ชาตินิยม" เพราะไม่มีชนชาติใดรักเรา เท่าชนชาติเราเอง
คนเวียดนามไม่ว่าอยู่ที่ใดจะรวมกันคิด และช่วยเหลือกันและ ผลักดัน ทุกรูปแบบ ให้รัฐบาลสหรัฐ ยุโรป และรัสเซีย ต้องสนับสนุนเวียดนาม
"ชาตินิยม" แบบเวียดนาม จึงเป็นความรักชาติที่กลมกล่อม ไม่ไปรุกรานใคร แต่ก็พร้อมจะแข่งขันกับทุกคน ซึ่งดร.เอ้ ได้มีการคาดการณ์ว่า เวียดนามจะเป็น "ผู้นำเศรษฐกิจอาเซียน" และอาจขึ้นเทียบชั้นกับ "เกาหลี" ในอนาคตได้
อย่างไรก็ตาม จาก 4 บทเรียนที่เราได้ถอดความมสำเร็จของเวียดนาม ทำให้ไทยต้องคอยจับ "สัญญาณ" การก้าวกระโดดของเวียดนาม โดยเฉพาะอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ สูงชัดเจนมาก และเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ไทยเรา "ยังนิ่ง" ไม่เข้าสู่โหมด "แข่งขัน" อย่างจริงจังสักที ทำให้ "เสียโอกาส" ไปทุกวัน ที่ไม่อาจย้อนคืน
สุดท้าย ดร.เอ้ ยังคงเชื่อมั่นว่า คนไทยเก่งไม่แพ้ชาติใดในโลก แต่ก็กังวลไม่น้อย เมื่อรู้แจ้งว่า เวียดนามและชาติอื่น ไม่มีใครอยู่นิ่งเลย ทุกชาติทุ่มสุดตัว "พร้อมแข่งขัน" แล้วไทยจะทำอย่างไร
อ้างอิง : X AESUCHATVEE