ชาญชัย ชัยประสิทธิ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท PwC ประเทศไทย เปิดเผยว่า ผลสำรวจ PwC 2021 Global Investor ESG Survey ได้ทำการสอบถามความคิดเห็นของนักลงทุนจำนวน 325 คนทั่วโลก โดยส่วนใหญ่เป็นผู้จัดการสินทรัพย์และนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ของบริษัทการลงทุน วาณิชธนกิจ หรือบริษัทหลักทรัพย์ โดยมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารรวมกันมากกว่า 11.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 379 ล้านล้านบาท พบว่า นักลงทุนที่ถูกสำรวจเกือบครึ่งหรือสัดส่วน 49% มีความพร้อมที่จะถอนการลงทุนออกจากบริษัทที่ไม่ได้มีการดำเนินการด้านปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) อย่างเพียงพอ
ในขณะเดียวกัน 59% ของผู้ถูกสำรวจระบุว่า พวกเขามีแนวโน้มที่จะลงคะแนนคัดค้านข้อตกลงการจ่ายค่าตอบแทนสำหรับผู้บริหารของบริษัทที่ขาดการดำเนินการด้าน ESG และอีก 79% ระบุว่า วิธีการที่บริษัทใช้ในการจัดการความเสี่ยงและโอกาสด้าน ESG จะเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจลงทุนของตน
อย่างไรก็ดี แม้นักลงทุนส่วนใหญ่ต้องการให้ธุรกิจมีการดำเนินการด้าน ESG แต่ก็ต้องการให้ส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนการลงทุนน้อยที่สุด โดย 81% ของผู้ถูกสำรวจกล่าวว่า พวกเขาจะยอมรับผลตอบแทนจากการลงทุนที่ลดลงไม่มากกว่า 1 จุดร้อยละจากการดำเนินการด้าน ESG ของบริษัท ขณะที่เกือบครึ่งไม่เต็มใจที่จะยอมรับผลตอบแทนที่ลดลงเลย
นาย ชาญชัย กล่าวว่า เห็นกระแสของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่แม้นักลงทุนอาจจะไม่ได้ขอข้อมูลรายงานความยั่งยืน แต่นักลงทุนที่ต้องการเข้ามาซื้อกิจการให้ความสำคัญกับธุรกิจที่มีการดำเนินการด้าน ESG โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริษัทในกลุ่มแมนูแฟคเจอริ่ง ที่เป็นส่วนหนึ่งของซัพพลายเชน ซึ่งประเทศในแถบทวีปยุโรปออกกฎระเบียบในเรื่องนี้อย่างเคร่งครัด หากบริษัทในกลุ่มนี้ไม่ปฏิบัติตาม ก็อาจได้รับอุปสรรคจากการทำการค้ากับคู่ค้าได้
“อยากแนะนำให้บริษัทจดทะเบียน(บจ.) ไทยในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ยังไม่ได้เริ่มวางกลยุทธ์ด้าน ESG เริ่มศึกษาข้อมูลและติดตามข่าวสารเกี่ยวกับทิศทางของโลก หรือคู่ค้า ถ้าเป็นธุรกิจเกี่ยวกับซัพพลายเชน หรือมีประเทศคู่ค้า เช่น ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา หรือหลาย ๆ ประเทศในโซนยุโรปที่เข้มงวดเรื่อง ESG ผู้บริหารจะต้องรีบกลับมาวางแผนงานด้านนี้ทันที หรือในกรณีที่เป็นบริษัทที่ไปลงทุนต่างประเทศ หรือนำหลักทรัพย์ออกไปขายต่างประเทศ ต้องมีผลการดำเนินงานด้าน ESG ที่ชัดเจน เพราะนักลงทุนต่างชาติให้ความสำคัญในเรื่องนี้มาก
“ในระยะถัดไป นักลงทุน หรือกองทุนต่างประเทศขนาดใหญ่จะเริ่มถอนการลงทุน หรือลดน้ำหนักการลงทุนในบริษัทที่ไม่มีการดำเนินการด้าน ESG รวมถึงกลุ่มธุรกิจที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบซัพพลายเชนด้วย เพราะอย่างที่กล่าวไปว่า กลุ่มนี้จะได้รับผลกระทบจากการตื่นตัวด้าน ESG ในต่างประเทศ” นาย ชาญชัย กล่าว
สำหรับปัจจุบันนักลงทุนไทยให้ความสนใจต่อการนำ ESG มาใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุนไม่มากเท่ากับนักลงทุนต่างชาติ ส่วนหนึ่งเพราะบริบทของประเทศยังไม่ได้ให้ความสำคัญ หรือตระหนักในเรื่องการดำเนินงานที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลที่มีการพัฒนามากเท่ากับประเทศชั้นนำขนาดใหญ่
“แม้การลงทุนในตลาดหุ้นไทยวันนี้ยังเห็นภาพไม่ชัดเจนว่า นักลงทุนสถาบันได้นำปัจจัย ESG มาประกอบการตัดสินใจลงทุนอย่างเต็มที่ แต่สำหรับการลงทุนโดยตรงจากนักลงทุนต่างชาติที่ต้องการเข้ามาซื้อกิจการในไทยแล้ว คำถามที่เราพบบ่อยมากคือ บริษัทนั้น ๆ ได้ดำเนินการอะไรบ้างเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมทั้งเรื่องของกลยุทธ์ แนวปฏิบัติ ธรรมาภิบาล และการประเมินผล เพราะพวกเขาตระหนักดีว่า ESG จะเป็นทั้งโอกาสและความเสี่ยงของธุรกิจที่ไม่มีความพร้อมในเรื่องนี้” นาย ชาญชัย กล่าว
ขณะที่การจัดทำรายงานด้านความยั่งยืน (Sustainability Disclosure and Reporting) ถือเป็นการเปิดเผยข้อมูลที่สะท้อนให้เห็นถึงนโยบาย ผลกระทบ และผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมของธุรกิจ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ลงทุนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทราบถึงการดำเนินงานที่ครอบคลุมข้อมูลที่ไม่ใช่ข้อมูลทางการเงิน อีกทั้งยังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของธุรกิจและช่วยดึงดูดความสนใจของนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในธุรกิจที่คำนึงถึงปัจจัย ESG
ทั้งนี้ สอดคล้องกับรายงานของ PwC ที่ระบุว่า 83% ของนักลงทุนที่ถูกสำรวจเชื่อว่า การจัดทำรายงานด้านความยั่งยืน ถือเป็นการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการบรรลุเป้าหมาย ESG ของธุรกิจ
อย่างไรก็ดี นาย ชาญชัย กล่าวว่า องค์กรธุรกิจไทยยังตื่นตัวในการจัดทำรายงานความยั่งยืนในวงจำกัด มีเพียงบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ เท่านั้นที่จัดทำรายงานความยั่งยืนที่มีคุณภาพและได้รับการยอมรับจากนักลงทุนในประเทศและต่างประเทศในวงกว้าง
นาย ชาญชัย กล่าวทิ้งท้ายว่า การดำเนินการด้าน ESG ถือเป็นสิ่งที่ทุกองค์กรต้องลงมือทำตั้งแต่วันนี้ โดยควรมีการสื่อสารจากผู้บริหารระดับสูงไปสู่ผู้ใต้บังคับบัญชาทั่วทั้งองค์กรว่า ESG จะส่งผลกระทบอย่างไรต่อการดำเนินธุรกิจในอนาคต และองค์กรมีเป้าหมายในการดำเนินการเรื่องนี้อย่างไร รวมถึงให้ความสำคัญกับการวัดผลที่ได้มาตรฐานการรายงานด้าน ESG (ESG reporting standards) เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนในระยะยาวและตอบสนองต่อความต้องการของนักลงทุนที่เปลี่ยนไป
ทั้งนี้ ESG เป็นแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาขององค์กรอย่างยั่งยืน ซึ่งย่อมาจาก Environment, Social, และ Governance ปัจจุบัน ESG ได้รับความนิยมจากนักลงทุนทั่วโลกในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นแนวคิดที่นักลงทุนใช้ประกอบการพิจารณาลงทุน โดยจะให้ความสำคัญกับการทำธุรกิจ ที่คำนึงถึงความรับผิดชอบ 3 ด้านหลัก คือ สิ่งแวดล้อม สังคม การกำกับดูแล โดย Environment เป็นหลักเกณฑ์ที่คำนึงถึงในด้านความรับผิดชอบของบริษัทต่อสิ่งแวดล้อม Social เป็นหลักเกณฑ์ที่ใช้วัดว่าบริษัทมีการจัดการความสัมพันธ์และมีการสื่อสาร กับ ลูกจ้าง suppliers ลูกค้า หรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (stakeholders)
อย่างไร และ Governance เป็นหลักการที่ใช้วัดว่าบริษัทมีการจัดการบริการความสัมพันธ์ในเชิงการกำกับดูแลอย่างไร เพื่อการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพโปร่งใส ตรวจสอบได้ และคำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสีย ทั้งนี้แนวคิด ESG ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่ธุรกิจ ด้วยการสะท้อนบทบาทความรับผิดชอบของธุรกิจที่มีต่อผู้มีส่วนได้เสีย และการนำเสนอผลการดำเนินงานในการพัฒนาธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน