ลดภาษี...ทางเลือกตรึงราคาน้ำมัน

ลดภาษี...ทางเลือกตรึงราคาน้ำมัน

หลังจากราคาในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปลายปี 2564 เป็นต้นมา ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศไทย ปรับตัวขึ้นตามไปด้วย  ณ วันที่ 24 มกราคม 2565 ราคาขายปลีกน้ำมันในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ปรับเปลี่ยน  5 ครั้งเป็นการสลับสับเปลี่ยนกันขึ้นราคาในหลายผลิตภัณฑ์ โดยพบว่า

ปรับขึ้น  ดีเซล                3 ครั้ง รวม 90 สตางค์/ลิตร  ราคาล่าสุด 29.94 บาท/ลิตร

ปรับขึ้น   เบนซิน             3 ครั้ง รวม 1 บาท/ลิตร  ราคาล่าสุด 40.56 บาท/ลิตร

ปรับขึ้น   กลุ่มแก๊สโซออล์ 3 ครั้ง รวม 1.40 บาท/ลิตร  

ปรับขึ้น    E85              3 ครั้ง รวม 90 สตางค์ /ลิตร

จับตา ภาวะ “Supply Shock” ดันราคาน้ำมันพุ่ง

แต่แนวราคาน้ำมันในตลาดโลก ก็ยังไม่มีท่าทีจะลดลง และมีแนวโน้มยังปรับตัวสูงขึ้น ทั้งจาก สถานการณ์ความต้องการใช้น้ำมันที่ฟื้นตัวจากโควิด19 และปัญหาความขัดแย้งระหว่าง สหรัฐ รัสเซีย ตะวันออกกลาง ที่อาจจะมีผลต่อกำลังการผลิตน้ำมัน (อุปทาน - Supply) จนนักเศรษฐศาสตร์ในต่างประเทศ เริ่มออกมากังวลกับภาวะ  “Supply Shock”  ซึ่งนั่นจะทำให้ราคาในตลาดโลกมีโอกาสทะลุ 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล

หากดูแนวโน้มราคาน้ำมันดิบ ก็จะพบว่า มีการไต่ระดับขึ้นมาอย่างชัดเจนจากปลายปี 2564

น้ำมันดิบ BRENT  จากระดับ ประมาณ 72 ดอลาร์สหรัฐฯ/บารร์เรล  ในปลายปี 64 เป็น ใกล้ 90 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บารร์เรล 

น้ำมันดิบ WTI จากระดับราคา ประมาณ 68 ดอลาร์สหรัฐฯ/บารร์เรล  ในปลายปี 2564 เป็น 86 ดอลาร์สหรัฐฯ/บารร์เรล 

น้ำมันดิบ ดูไบ จากระดับราคาประมาณ 70 ดอลาร์สหรัฐฯ/บารร์เรล  ในปลายปี 2564 เป็น 82 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

กองทุนน้ำมันเอาไม่อยู่? ..... ลดภาษี ทางเลือกตรึงราคาน้ำมัน

แนวโน้มราคาน้ำมันที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ทำให้นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหารือเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อหามาตรการรับมือหากแนวโน้มราคาน้ำมันในตลาดโลกยังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกระทรวงพลังงานออกมายืนยันว่า ยังสามารถใช้เงินจากกองทุนน้ำมัน มาเป็นกลไก ช่วยอุดหนุนราคาน้ำมันในประเทศ เพื่อไม่ให้ราคาแพงจนกระทบพี่น้องประชาชนมากเกินไป  และนายกรัฐมนตรีย้ำว่า จะตรึงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล ไม่ให้เกิน 30 บาท/ลิตร

แต่เมื่อดูสถานะของเงินกองทุนน้ำมัน ณ วันที่ 16 ม.ค.2565 พบว่า เงินกองทุนติดลบอยู่ 8,782 ล้านบาท  โดยบัญชี LPG ติดลบอยู่ 24,122 ล้านบาท เพราะมีเงินไหลออกไปชดเชย LPG เดือนละ 1,900 ล้านบาท ส่วนบัญชีน้ำมันพบว่า ยังเป็นบวก 15,340 ล้านบาท เพราะมีเงินไหลเข้าจากเก็บจากน้ำมันในกลุ่มเบนซิน E10 แต่มีเงินไหลออกจากการชดเชย ดีเซล  เดือนละ 4,600 ล้านบาท  แม้กองทุนน้ำมันจะมียังกระแสสดไหล และสามารถในการกู้เพิ่มได้อยู่ก็ตาม

ด้านผู้อำนวยการ สำนักนโยบายแผนพลังงาน วัฒนพงษ์ คุโรวาท ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่า สนพ.ได้เสนอแผนขอลดภาษีสรรพสามิต ต่อปลัดกระทรวงพลังงาน กุลิศ สมบัติศิริ แล้ว เพราะเงื่อนไขของของ กบง.ระบุ หากราคาน้ำมันดิบดูไบ เกิน 87.50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล กระทรวงการคลังน่าจะยอมลดภาษีสรรพสามิต เพื่อลดผลกระทบต่อสถานะกองทุนน้ำมัน

ทีมงาน SPOTLIGHT เคยนำเสนอข้อมูลโครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศแล้ว ว่ามีต้นทุนทั้งหมด  8 ส่วน คือ 1.ราคาน้ำมันสำเร็จรูป   2.ภาษีสรรพสามิตร   3.ภาษีเทศบาล   4.กองทุนน้ำมัน   5.กองทุนอนุรักษ์พลังงาน   6.ภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่เก็บจากราคาขายส่ง 7.ค่าการตลาด   8.ภาษีมูลค่าเพิ่ม  คิดจากค่าการตลาด

ต้นทุนน้ำมันที่มาจากภาษี

จากโครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 1 ลิตร พบว่า เป็นภาษีอยู่ 4 ชั้น

    1.ภาษีสรรพสามิต  

• กลุ่มน้ำมันดีเซลเก็บภาษีที่ 5.99 บาท/ลิตร
• กลุ่มน้ำมันเบนซินเก็บภาษีตั้งแต่  0.98-6.50 บาท/ลิตร ขึ้นอยู่กับประเภทน้ำมัน
• ก๊าซ LPG เก็บภาษีที่ 2.17 บาท/กก

   2.ภาษีเทศบาล (อัตรา10%ของภาษีสรรพสามิตร)

   3.ภาษีมูลค่าเพิ่ม (อัตรา 7% ของราคาขายส่ง)

   4.ภาษีมูลค่าเพิ่ม (อัตรา 7% ของค่าการตลาด)

ทั้งนี้พบว่า รายได้จากภาษีสรรพสามิต ในกลุ่มน้ำมันเป็นรายได้หลักของกรมฯ คือเกือบ 50 % ของรายได้ที่กรมสรรพสามิตจัดเก็บทั้งหมด โดยในปีงบประมาณ 2565 (สิ้นสุดเดือน ก.ย.2565 ) มีการวางเป้าหมายในการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต จากกลุ่มน้ำมัน ที่ 210,600 ล้านบาท จากเป้าหมายจัดเก็บรวมทุกสินค้า 550,200 ล้านบาท

ซึ่งก่อนหน้านี้ที่กระทรวงพลังงานเสนอ คือ ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันลงอีก 1-2 บาทต่อลิตร ซึ่งแน่นอนว่า กระทบกับรายได้ของรัฐบาลอย่างแน่นอน .. แต่สุดท้ายรัฐบาลคงต้องตัดสินใจ เพื่อหาทางรับมือ กับภาวะที่ราคาสินค้าต่างประดังขึ้นราคา จนกระทบต่อประชาชน ที่ต้องต่อสู้กับโควิด19 อยู่ในปัจจุบัน