เมื่อพรรคก้าวไกล โดยมีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐนนตรี หัวหน้าพรรคก้าวไกลได้เป็นแกนนำการจัดตั้งรัฐบาล ด้วยคะแนนเสียงข้างมากเป็นอันดับที่ 1 โดยได้มี 5 พรรคเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล พรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย พรรคไทยสร้างไทย พรรคประชาชาติ พรรคเสรีรวมไทย รวมคะแนนเสียง 308 เสียงนั้น
วันนี้ SPOTLIGHT พามาฟังมุมมองของภาคเอกชน ทั้งจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสภาหอการค้าไทย ถึงการเลือกตั้งครั้งนี้
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยกับ “SPOTLIGHT” ว่า การเลือกตั้งในประเทศไทยผ่านไปได้ด้วยดี เรียบร้อย ถือเป็นวิวัฒนาการของการเมืองไทย ส่งผลให้พรรคก้าวไกลได้คะแนนเสียงสูงสุด และเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลที่จะรวมกับพรรคเพื่อไทย ที่ได้รับคะแนนมาเป็นอันดับ 2
"ภาคเอกชนจึงต้องการเห็นการจัดตั้งรัฐบาลให้เร็วที่สุดและที่สำคัญต้องมีเสถียรภาพ ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ต้องเป็นทีมที่มีประสบการณ์ พรรคก้าวไกลอาจจะยังไม่มีประสบการณ์มากนัก ก็ต้องดึงคนรุ่นใหม่ๆ มาร่วมคิดและทำงานเป็นทีมไปในทิศทางเดียวกัน ที่สำคัญต้องทำงานร่วมกับภาคเอกชนโดยเฉพาะภายใต้คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนและหน่วยงานรัฐต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ" นายเกรียงไกรกล่าว
ทั้งนี้ ทางคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน (กกร.) ได้คาดการณ์ระยะเวลาการจัดตั้งรัฐบาลคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนส.ค.2566 นี้แต่ถ้าได้เร็วกว่าเดือนส.ค.2566 ก็จะส่งผลดีต่อเรื่องของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพราะถ้ายิ่งจัดตั้งรัฐบาลช้าก็จะยิ่งเสียโอกาส เนื่องจากจะมีเรื่องการจัดสรรงบประมาณ การเบิกจ่ายงบประมาณ
“รัฐบาลใหม่ต้องมีเสถียรภาพ เพราะถ้าง่อนแง่นก็จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนไทยและนักลงทุนต่างประเทศ เร่งฟอร์มทีมให้เร็ว และเดินหน้าแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน การลดค่าใช้จ่าย ปัญหาค่าครองชีพที่สูง ค่าไฟแพง ที่เป็นปัญหาใหญ่ของทุกคน” นายเกรียงไกร กล่าวกับ SPOTLIGHT
นายเกรียงไกร ยังกล่าวอีกว่า ปัญหาเรื่องหนี้ครัวเรือนที่อยู่ระดับสูง 80-90% ของจีดีพี อาจส่อให้เกิดหนี้เสีย(NPL) และภาค SME อาจจะได้รับผลกระทบ ขณะที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้น ก็จะเป็นแรงกดดันต่อกำลังซื้อของประชาชน ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องเร่งแก้ไข เพื่อฟื้นเศรษฐกิจ
ด้านนายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าประชาชนตื่นตัวมาก ผู้ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งเกือบ 40 ล้านคน เกินกว่า 75% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด 52 ล้านคน โดยสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือประชาชนทุกช่วงวัยตัดสินใจเลือกในส่วนของ 2 พรรคหลัก เกินกว่า 50% ในระบบ Party list แสดงให้เห็นว่าประชาชนส่วนใหญ่ต้องการเห็นการเปลี่ยน
สำหรับผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการพรรคก้าวไกลมีคะแนนเป็นอันดับ 1 ตามหลักการก็มีสิทธิที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้ก่อน และครั้งนี้เราเห็นหลายพรรคการเมืองออกมาประกาศเจตนารมย์ว่าจะให้เกียรติพรรคการเมืองลำดับ 1 เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลก่อน จึงต้องรอติดตามว่าหลังจากนี้กระบวนการจับมือตั้งรัฐบาลจะออกมาในลักษณะใด
ภาพการเลือกตั้งที่พรรคก้าวไกล ประสบความสำเร็จในวันนี้ ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่าวันนี้พรรคก้าวไกลไม่ใช่พรรคการเมืองหน้าใหม่ในการเมืองไทย เพราะ 4 ปีที่ผ่านมา ก็ได้ทำหน้าที่ฝ่ายค้านและพิสูจน์บทบาทเชิงการเมืองมามากพอสมควร หากพรรคก้าวไกลสามารถจัดตั้งรัฐบาลที่มีเสียงเข้มแข็งและเข้ามาบริหารประเทศก็เชื่อว่าการทำงานของฝ่ายบริหารก็จะสามารถขับเคลื่อนต่อไป
ส่วนเรื่องนโยบายของพรรคแกนนำ และพรรคร่วม คงต้องรอติดตามว่าการจัดตั้งรัฐบาลจะประกอบไปด้วยพรรคการเมืองใดเข้ามาร่วมบ้าง ซึ่งคงต้องมีการพูดคุยและตกลงนโยบายของแต่ละพรรคก่อนแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งจะทำให้เราได้เห็นชุดนโยบายที่ออกมาชัดเจน แต่วันนี้หากดูจากพรรคที่มีโอกาสจัดตั้งรัฐบาลได้ก่อนอย่างก้าวไกล สิ่งที่เราเห็นคงเป็นประเด็นเรื่องการเร่งปฏิรูปกฎหมาย และนโยบายสวัสดิการต่าง ๆ
“เป็นเรื่องปกติที่เราจะเห็นภาพคนรุ่นใหม่เข้ามาบริหารประเทศ ตัวอย่างหลายประเทศก็มีผู้นำที่เป็นคนรุ่นใหม่ เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส แคนนาดา แต่สิ่งสำคัญ คือ การผสมผสานคนที่มีความรู้ ความสามารถเข้ามาช่วยบริหารประเทศ เช่นเดียวกับภาพของุรกิจที่วันนี้มีนักธุรกิจรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ”
อย่างไรก็ตามข้อสังเกตในการเลือกตั้งครั้งนี้คือไม่มีพรรคใดได้รับเสียงที่ชนะขาดแบบท่วมท้น ทำให้เราจะเห็นภาพของพรรคอันดับ 1 และอันดับ 2 ทิ้งห่างกันไม่มาก ความเป็นไปได้ที่พรรคอันดับ 1 จะจับมือกับอันดับ 2 หรือ รูปแบบการจัดตั้งรัฐบาลในหลากหลายสูตร เป็นเรื่องที่จะต้องติดตามอย่างใกล้ชิด แต่วันนี้ทุกภาคส่วนอยากเห็นรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ สามารถบริหารงานได้ต่อเนื่องไม่หยุดชะงัก
สิ่งที่ภาคเอกชนอยากเห็น คือ กระบวนการจัดตั้งรัฐบาลที่รวดเร็วตามกรอบระยะเวลาของกฎหมาย เพราะทุกภาคส่วนจะได้เห็นหน้าตาของรัฐบาลชุดใหม่ รวมไปถึงชุดนโยบายต่าง ๆ ที่จะออกมาตามที่พรรคแกนนำจัดตั้งและพรรคร่วมได้ตกลงกันที่ก็จะมีความชัดเจน ซึ่งเหล่านี้จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประเทศได้เป็นอย่างมาก