กกร.วอนภาครัฐตรึงค่าไฟงวดใหม่ รอบเดือน ม.ค.-เม.ย.2567 ภายหลังจากสำนักงานกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ประกาศผลการรับฟังความคิดเห็นค่า Ft หรือค่าไฟฟ้าผันแปร รอบเดือนม.ค.-เม.ย. 67 และมีมติเห็นชอบให้ปรับค่า Ft ที่ 89.55 สตางค์/หน่วย ส่งผลให้ค่าไฟเฉลี่ยจะสูงขึ้นไปที่ 4.68 บาท/หน่วย จากปัจจุบันที่ 3.99 บาท/หน่วย
ในวันนี้(6 ธ.ค.) ได้มีการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) โดยมีนายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย ในฐานะเป็นประธาน กกร. และมีนายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย ในฐานะประธานสมาคมธนาคารไทย และนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ร่วมประชุม ซึ่งได้มีการเรียกร้องรัฐบาลตรึงค่าไฟงวดใหม่ แม้ว่า รมว.พลังงาน จะมีแนวโน้มจะเสนอให้ปรับขึ้นค่าไฟมาที่ 4.20 บาทก็ตาม แต่ในมุมมองของกกร. เห็นว่ายังเป็นระดับที่สูงขึ้นจากเดิม
โดยมองว่า หากเป็นการปรับขึ้นค่าไฟงวดใหม่นี้ ยังไม่ใช่จังหวะที่ดี เนื่องจากเศรษฐกิจยังไม่ได้ฟื้นตัวดี และมีความเห็นว่าค่าไฟที่เหมาะสมน่าจะอยู่ในช่วง 2.70-3.30 บาท/หน่วย พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งจัดตั้ง กรอ.พลังงาน เพื่อดูแลการแก้ปัญหาทั้งระบบจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย ในฐานะเป็นประธาน กกร. กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2566 เติบโตได้น้อยกว่าที่คาด 9 เดือนแรกเติบโตได้เพียง 1.9% โดยการส่งออกยังชะลอตัวตามทิศทางประเทศเศรษฐกิจหลัก โดยเฉพาะจีน การผลิตสินค้าอุตสาหกรรมที่หดตัวอย่างต่อเนื่องและชะลอการผลิตเพื่อเติมสินค้าคงคลัง นอกจากนี้ รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 28 ล้านคน แทนที่จะเป็นราว 30 ล้านคน การใช้จ่ายต่อหัวก็ลดลงเหลือเพียง 4.30 หมื่นบาท จากที่เคยประมาณการ 4.55 หมื่นบาท
คาดปี 67 เศรษฐกิจโลกชะลอตัว
เศรษฐกิจโลกปี 2567 มีแนวโน้มชะลอตัว สหรัฐฯ และยุโรปชะลอตัวจากภาวะการเงินที่ยังตึงตัวต่อเนื่อง ส่วนเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มเติบโตไม่ถึง 5% เนื่องจากปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจของเอเชียไม่รวมจีน ได้แก่ อาเซียน-5 เกาหลีใต้ และไต้หวัน มีแนวโน้มขยายตัวได้ดีขึ้นเฉลี่ยที่อัตรา 3.7% นอกจากนี้ ตะวันออกกลางและอินเดีย มีแนวโน้มเติบโตได้ในระดับสูงที่ประมาณ 3.4% และ 6.3% ตามลำดับ สามารถเป็นปัจจัยสนับสนุนการส่งออกของไทยในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ และอาหาร
คาดเศรษฐกิจไทยปี 67 โต 2.8-3.3%
เศรษฐกิจไทยปี 2567 มีแนวโน้มขยายตัวได้ที่ 2.8-3.3% มีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยจะโตได้น้อยกว่า 3% ซึ่งเป็นระดับศักยภาพเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน
โดยเผชิญทั้งเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และปัจจัยความเปราะบางในประเทศ เช่น หนี้ครัวเรือน หนี้ของภาคธุรกิจโดยเฉพาะ SMEs รวมถึงผลกระทบต่อการเข้าถึงสินเชื่อในระบบจากการเริ่มใช้มาตรการการปล่อยสินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบของธปท. ที่เน้นเรื่องวินัยการไม่สร้างหนี้เกินกำลัง
รวมถึงการกลับมาจัดชั้นคุณภาพหนี้ตามปกติหลังยุค COVID-19 นอกจากนี้ ยังมีความท้าทายจากศักยภาพการเติบโตของประเทศที่ลดลง การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน ทั้งด้านเทคโนโลยี เพิ่มผลิตภาพของแรงงานเพื่อเผชิญกับการก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย และการก้าวสู่ low carbon society
ปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจไทยปี 67
ปัจจัยบวกสำหรับปี 2567 ได้แก่ การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว คาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยว 33 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้นอีก 5 ล้านคนจากปี 2566 ทั้งนี้ หากนโยบายเติมเงินใน digital wallet ดำเนินการได้เต็มวงเงิน 5 แสนล้านบาท ประเมินว่าจะช่วยเพิ่มการเติบโตของ GDP ได้อีกอย่างน้อย 1-1.5%
กรอบประมาณการเศรษฐกิจปี 2566-2567 ของ กกร.
%YoY |
ปี 2566 (ณ ต.ค. 66) |
ปี 2566 (ณ พ.ย. 66) |
ปี 2566 (ณ ธ.ค. 66) |
ปี 2567 (ณ ธ.ค. 66) |
GDP |
2.5 ถึง 3.0 |
2.5 ถึง 3.0 |
2.5 ถึง 3.0 |
2.8 ถึง 3.3 |
ส่งออก |
-2.0 ถึง -0.5 |
-2.0 ถึง -1.0 |
-2.0 ถึง -1.0 |
2.0 ถึง 3.0 |
เงินเฟ้อ |
1.7 ถึง 2.2 |
1.7 ถึง 2.2 |
1.3 ถึง 1.7 |
1.7 ถึง 2.2 |
กกร.แนะไทยเร่งปรับโครงสร้างศก.-แก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน
ปี 2567 มีหลายปัจจัยแปรผันที่กระทบต่อเศรษฐกิจ ประเทศไทยจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันเน้นไปที่การเร่งเจรจา FTA ดึงดูดการลงทุนในยุค Decoupling การดูแลต้นทุนราคาพลังงานควบคู่ไปกับการสร้างเสถียรภาพให้เกิดความสมดุล และการเตรียมความพร้อมด้านกำลังคน รวมถึงดึงดูดแรงงานต่างด้าวที่มีทักษะสูง
นอกจากนี้ ต้องเร่งแก้ปัญหาความเปราะบางในประเทศ โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนที่ พบว่า หนี้เสีย (NPL) ในระบบธนาคารพาณิชย์ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจาก 2.68% ณ Q1/2566 เป็น 2.79% ณ Q3/2566 จากทุก product และสินเชื่อรถยนต์ที่อยู่ใน stage 2 สูงราว 15%
นอกจากนี้ หนี้นอกระบบเป็นปัญหาต่อเนื่องมาจากการมี informal economy ขนาดใหญ่ ซึ่งจากข้อมูลการลงทะเบียนแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ ณ วันที่ 5 ธันวาคม 2566 มีประชาชนมาลงทะเบียนจำนวน 62,030 ราย รวมมูลหนี้ 2,793.29 ล้านบาท
ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเพราะจะได้เห็นข้อมูลพื้นฐานของหนี้นอกระบบ สร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนในการบังคับใช้กฎหมายโดยภาครัฐ และให้การดูแลประชาชนกลุ่มเปราะบาง โดยที่ประชุม กกร. เห็นว่ากลไกถัดไปในการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบต้องผลักดันให้ลูกหนี้เข้าถึงสินเชื่อในระบบมากขึ้น รวมถึงการปรับโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มความสามารถในการชำระหนี้ด้วยการสร้างรายได้อย่างยั่งยืน