นักวิเคราะห์คาดเศรษฐกิจมีสิทธิซบเซายาวถึงปีหน้า หลังตัวเลขส่งออก และนำเข้าของเดือนพฤศจิกายนออกมาน่าผิดหวัง สะท้อนว่าเศรษฐกิจทั้งภายนอกและภายในจีนยังไม่ฟื้น อุปสงค์ตกต่ำ ความต้องการสินค้าน้อย ขณะที่ภาคอสังหาฯ ยังอยู่ในวิกฤต และต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะฟื้น
เมื่อวานนี้ (7 ธ.ค.) จีนได้ประกาศตัวเลขส่งออกและนำเข้า พบว่ายอดส่งออกเพิ่มขึ้น 0.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า สวนทางการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์จากผลสำรวจของ Reuters ซึ่งคาดว่าจะลดลง 1.1% ขณะที่ยอดนำเข้าลดลง 0.6% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา น้อยกว่าการคาดการณ์ซึ่งอยู่ที่ +3.3%
จากการรายงานของ CNBC ยอดส่งออกของจีนไปยังสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 7% ในเดือนพฤศจิกายน ขณะที่ยอดส่งออกไปสหภาพยุโรปลดลง 14.5% และประเทศอาเซียนลดลง 7%
ทั้งนี้ แม้ตัวเลขการส่งออกจะเพิ่มขึ้น นักวิเคราะห์มองว่าตัวเลขนี้ก็ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ เพราะเป็นการเพิ่มขึ้นจากฐานที่ต่ำในปีก่อนหน้า และไม่น่าจะเพิ่มขึ้นได้อีกในระยะยาว เพราะเศรษฐกิจของคู่ค้าสำคัญทั้งสหรัฐฯ ยุโรป และประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีแนวโน้มทรงตัวหรือซบเซาทั้งหมด ทำให้การหวังกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการส่งออกอาจเป็นไปได้ยากสำหรับจีนในปี 2024
Frederic Neumann หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์เอเชียของ HSBC ให้สัมภาษณ์แก่สำนักข่าว CNBC ว่า เศรษฐกิจจีนน่าจะซบเซาไปอีกหลายเดือนเพราะว่าอุปสงค์ภายนอกประเทศยังคงอ่อนแอ และรัฐบาลจีนยังไม่ได้ออกมาตรการที่ประสบความสำเร็จในการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจสำคัญแทนการบริโภคภายนอกประเทศ
นอกจากนี้ นาย Neumann ยังมองว่ารัฐบาลจีนน่าจะยังไม่ตัดสินใจใช้ยาแรง หรือออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ในเร็วๆ นี้ เพราะสถานการณ์ในตอนนี้ยังไม่เลวร้ายพอที่จะทำให้รัฐบาลออกเงินอัดฉีด ซึ่งดูได้จากตัวเลขการจ้างงานที่ยังคงสูง และการลงทุนก่อสร้างที่ยังเพิ่ม ทำให้เศรษฐกิจจีนน่าจะทรงตัวอยู่ในระดับนี้ไปซักพัก
จากการคาดการณ์ล่าสุดของ IMF เศรษฐกิจจีนจะมีการเติบโต 5.4% ในปี 2023 จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังโควิด ก่อนจะชะลอตัวลงเป็น 4.6% ในปี 2024 จากภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังคงอ่อนแอ และดีมานด์จากต่างประเทศที่ยังคงตกต่ำ
Louise Loo หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก Oxford Economics กล่าวว่า ภาคอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังประสบปัญหาสภาพคล่องและปัญหาหนี้ในปัจจุบันจะต้องใช้เวลาอีกหลายปีในการฟื้นตัว
โดยหากพิจารณาจากจำนวนโครงการที่ยังก่อสร้างไม่เสร็จ และจำนวนที่อยู่อาศัยค้างสต็อกที่ยังไม่มีผู้ซื้อ นาย Loo กล่าวว่า บริษัทอสังหาริมทรัพย์ของจีนต้องใช้เวลาอย่างน้อยถึง 4-6 ปีในการก่อสร้างโครงการอาศัยที่ยังสร้างไม่เสร็จทั้งหมด และอาจใช้เวลาถึง 10-20 ปีในการสร้างโครงการในพื้นที่ชนบทอย่างกุ้ยโจว และหลายๆ มณฑลเช่น เจียงซี และเหอเป่ย
นอกจากนี้ ถึงแม้จะสร้างเสร็จจนพร้อมส่งมอบทั้งหมด จำนวนที่อยู่อาศัยที่ยังค้างสต็อกและไม่มีผู้ซื้อก็ยังมีปริมาณมากจนดีมานด์ที่อยู่อาศัยของประชาชนในประเทศไม่สามารถรองรับได้ ทำให้บริษัทเหล่านี้ยังเสี่ยงมีปัญหาสภาพคล่องอยู่ เพราะไม่สามารถหารายได้มากพอมาทำการลงทุนเพิ่มได้
ดังนั้น แม้รัฐบาลจีนจะกำลังพยายามอัดฉีดเงินช่วยเหลือบริษัทในภาคอสังหาฯ ในปัจจุบัน ภาคส่วนนี้ก็คงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะฟื้นตัวและกลับมาเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจจีนดังเดิมได้ ทำให้รัฐบาลและนักลงทุนไม่สามารถหวังพึ่งพาการฟื้นตัวของภาคอสังหาฯ เพื่อนกระตุ้นเศรษฐกิจจีนในเร็วๆ นี้ได้
อย่างไรก็ตาม นาย Loo มองว่าปัญหาในภาคอสังหาฯ จะไม่ลุกลามไปถึงภาคส่วนอื่นในเศรษฐกิจของประเทศเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในสหรัฐฯ สเปน หรือไอร์แลนด์ในช่วง 10-15 ปีก่อนหน้า เพราะภาคธนาคารของจีนยังค่อนข้างแข็งแรง เพราะถูกควบคุมอย่างแข็งขันโดยรัฐ ไม่มีการปล่อยกู้อย่างไม่จำกัดจนทำให้เกิดภาวะฟองสบู่ ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่นๆ ในประเทศจะยังคงดำเนินไปได้แม้ภาคอสังหาฯ จะซบเซา
นอกจากตัวเลขส่งออกและนำเข้าที่น่าผิดหวังแล้ว Moody’s หนึ่งในสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือรายใหญ่ของโลกยังได้ออกมาปรับลดแนวโน้มการเติบโตและสถานะของพันธบัตรรัฐบาลและธนาคารจีนถึง 8 แห่งจาก Stable มาเป็น Negative เพราะมีข้อกังวลด้านการจัดการหนี้ และมองว่าจีนยังมีความเสี่ยงด้านการเงิน เศรษฐกิจ และโครงสร้างอีกหลานประการที่ต้องแก้ไข
โดยจากการรายงานของบลูมเบิร์ก ธนาคารทั้ง 8 แห่งประกอบไปด้วยธนาคารรัฐ 3 แห่ง และธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่ควบคุมโดยรัฐบาลอีก 5 แห่ง ได้แก่
Moody’s คาดการณ์ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจจีนจะชะลอลงมาอยู่ที่ 4% ในปี 2024 และ 2025 และจะลดลงมาโตเฉลี่ยที่ 3.8% ในช่วงปี 2026-2030 และยังคงรักษาเครดิตระดับ A1 ให้กับพันธบัตรรัฐบาลของจีนในระยะยาว