ข่าวเศรษฐกิจ

มีลูก รับเงินเพิ่ม 3,000 บาท รมว.แรงงานชูนโยบายแก้วิกฤตประชากร

16 ต.ค. 67
มีลูก รับเงินเพิ่ม 3,000 บาท รมว.แรงงานชูนโยบายแก้วิกฤตประชากร

ประเทศไทยกำลังเผชิญหน้ากับ "ระเบิดเวลา" ทางประชากร! เมื่อจำนวนประชากรเกิดใหม่ลดต่ำลง ขณะที่สัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ ซึ่งนำมาซึ่งความท้าทาย โดยเฉพาะปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ที่ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ และการพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวม

ล่าสุด กระทรวงแรงงานได้เสนอนโยบาย "มีลูกเพิ่ม รับ 3,000" เพื่อหวังกระตุ้นให้ประชาชนมีบุตรมากขึ้น โดยเพิ่มเงินสงเคราะห์บุตรให้กับผู้ประกันตนมาตรา 33 ซึ่งแม้จะเป็นแนวคิดที่มุ่งแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ก็ก่อให้เกิดคำถามตามมา ว่านโยบายดังกล่าวจะสามารถแก้ไขวิกฤตขาดแคลนแรงงานได้อย่างยั่งยืนจริงหรือ?

มีลูก รับเงินเพิ่ม 3,000 บาท รมว.แรงงาน ชูนโยบายแก้วิกฤตประชากร

มีลูก รับเงินเพิ่ม 3,000 บาท รมว.แรงงาน ชูนโยบายแก้วิกฤตประชากร

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้นำเสนอนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานในอนาคต โดยมุ่งเน้นการเพิ่มแรงจูงใจในการมีบุตร สำหรับนโยบายดังกล่าวประกอบด้วยการเพิ่มเงินสงเคราะห์บุตรจากเดิม 1,000 บาท เป็น 3,000 บาทต่อเดือน เป็นระยะเวลา 7 ปี แก่ผู้ประกันตนมาตรา 33 ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าจะต้องนำบุตรไปเลี้ยงดูในชนบทหรือต่างจังหวัด

ทั้งนี้ นายพิพัฒน์ ได้กล่าวถึงที่มาของนโยบายนี้ว่า "ปัจจุบันสำนักงานประกันสังคม (สปส.) จ่ายเงินสงเคราะห์บุตรอยู่ที่ 800 บาทต่อเดือน และมีมติเห็นชอบที่จะปรับเพิ่มเป็น 1,000 บาทในปี 2568 แต่กระทรวงแรงงานเล็งเห็นว่า จำนวนเงินดังกล่าวอาจไม่เพียงพอที่จะจูงใจให้ผู้ประกันตนมีบุตรเพิ่ม จึงได้เสนอแนวทางนี้ เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย และกระตุ้นให้ประชากรไทยมีบุตรมากขึ้น"

รมว.แรงงาน ชูนโยบาย 3,000 หวังปั๊มประชากรไทย

มีลูก รับเงินเพิ่ม 3,000 บาท รมว.แรงงาน ชูนโยบายแก้วิกฤตประชากร

นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ได้นำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับมาตรการเพิ่มค่าเลี้ยงดูบุตรจาก 1,000 บาท เป็น 3,000 บาทต่อเดือน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นให้เกิดอัตราการเกิดในประเทศไทยที่กำลังประสบปัญหาจำนวนประชากรเกิดใหม่ลดลง ซึ่งสวนทางกับอัตราการเสียชีวิตที่เพิ่มสูงขึ้น โดยนายพิพัฒน์ ระบุว่าสำนักงานประกันสังคมมีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว และเชื่อว่าการเพิ่มค่าเลี้ยงดูบุตรจะช่วยสร้างแรงจูงใจให้แก่ผู้ประกันตน

ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวไม่ได้มีการจำกัดจำนวนบุตร ผู้ประกันตนมาตรา 33 จะได้รับสิทธิ์นี้โดยไม่จำกัดว่าจะมีบุตรกี่คน นอกจากนี้ นายพิพัฒน์ ยังได้เสนอให้มีการส่งเสริมให้บุตรที่เกิดจากแรงงานในเมืองไปอยู่ในการดูแลของปู่ย่าตายายในชนบท ซึ่งเป็นการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัว และเป็นการกระจายรายได้สู่ภูมิภาค

อย่างไรก็ตาม นายพิพัฒน์ ย้ำว่า "นโยบายนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการหารือร่วมกับคณะกรรมการกองทุนประกันสังคม เพื่อพิจารณาความเป็นไปได้และผลกระทบในด้านต่างๆ ก่อนที่จะดำเนินการต่อไป" นายพิพัฒน์ กล่าวเสริม

นโยบาย มีลูกเพิ่ม รับ 3,000 หากเกิดขึ้นจริง จะแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานได้ดีจริงหรือไม่?

มีลูก รับเงินเพิ่ม 3,000 บาท รมว.แรงงาน ชูนโยบายแก้วิกฤตประชากร

นโยบาย "มีลูกเพิ่ม รับ 3,000" ของกระทรวงแรงงาน ที่เสนอเพิ่มเงินสงเคราะห์บุตรแก่ผู้ประกันตนมาตรา 33 มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในอนาคต โดยหวังว่าจะกระตุ้นให้ประชาชนมีบุตรมากขึ้น อย่างไรก็ตาม นโยบายนี้มีทั้งผลดีและผลเสียที่ควรพิจารณาอย่างรอบด้าน ดังนี้

ทั้งนี้ นโยบาย "มีลูกเพิ่ม รับ 3,000" กับผลกระทบต่อสถานการณ์แรงงานไทย
นโยบาย "มีลูกเพิ่ม รับ 3,000" ซึ่งกระทรวงแรงงานนำเสนอเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานในอนาคต โดยมุ่งหวังที่จะเพิ่มอัตราการเกิดผ่านการยกระดับเงินสงเคราะห์บุตรสำหรับผู้ประกันตนมาตรา 33 นั้น แม้แนวคิดดังกล่าวจะมีเจตนาที่ดี แต่จำเป็นต้องพิจารณาผลกระทบเชิงลึกอย่างรอบด้าน ทั้งในมิติของผลประโยชน์และข้อจำกัด เพื่อประเมินความเหมาะสมในการนำมาบังคับใช้

ผลกระทบ รายละเอียด
ประโยชน์  
เพิ่มจำนวนประชากร
กระตุ้นให้ประชาชนมีบุตรมากขึ้น เพิ่มจำนวนประชากรวัยแรงงานในอนาคต บรรเทาปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ชะลอปัญหาสังคมผู้สูงอายุ นำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
ลดภาระค่าครองชีพ
แบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตร ครัวเรือนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีศักยภาพในการลงทุนเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต การศึกษา และสุขอนามัยของบุตร
กระตุ้นเศรษฐกิจ
เพิ่มความต้องการสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้อง เช่น สินค้าอุปโภคบริโภคสำหรับเด็ก ของเล่น และบริการด้านการศึกษา กระตุ้นการผลิต การจ้างงาน และการหมุนเวียนของเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจ
ลดความเหลื่อมล้ำ
กระตุ้นเศรษฐกิจในภูมิภาค ลดความเหลื่อมล้ำระหว่างเมืองกับชนบท ส่งเสริมการกระจายโอกาสทางการศึกษา สาธารณสุข และการพัฒนาคุณภาพชีวิต
ผลเสียและข้อจำกัด
 
ภาระทางการคลัง
เพิ่มภาระทางการคลังของรัฐบาล กระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาค และการจัดสรรงบประมาณเพื่อการพัฒนาในด้านอื่นๆ
ความยั่งยืนของนโยบาย
อาจไม่สามารถตอบโจทย์ในระยะยาว ต้องใช้ระยะเวลาในการพัฒนาศักยภาพของบุตรจนกว่าจะเติบโตเป็นกำลังแรงงาน ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์การลดลงของอัตราการเกิด
คุณภาพประชากร
มุ่งเน้นที่ปริมาณประชากร อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพ หากพ่อแม่ขาดความพร้อมในการเลี้ยงดู ทั้งในด้านเวลา ความรู้ และฐานะทางเศรษฐกิจ ส่งผลต่อพัฒนาการของเด็ก ก่อให้เกิดปัญหาสังคมในระยะยาว
ความเหลื่อมล้ำในสังคม
เอื้อประโยชน์ต่อผู้ประกันตนมาตรา 33 ซึ่งเป็นแรงงานในระบบ แต่กลุ่มแรงงานนอกระบบ เช่น เกษตรกร และแรงงานอิสระ อาจไม่ได้รับประโยชน์ ขยายช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม

 

ประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้น

  • การเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากร: นโยบายนี้อาจช่วยกระตุ้นให้ประชาชนตัดสินใจมีบุตรมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อการเพิ่มจำนวนประชากรวัยแรงงานในอนาคต บรรเทาปัญหาการขาดแคลนแรงงาน และชะลอความรุนแรงของปัญหาสังคมผู้สูงอายุ อันจะนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน
  • การลดภาระค่าครองชีพ: การเพิ่มเงินสงเคราะห์บุตร ถือเป็นการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตร ช่วยให้ครัวเรือนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และมีศักยภาพในการลงทุนเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต การศึกษา และสุขอนามัยของบุตร
  • การกระตุ้นเศรษฐกิจ: การเพิ่มขึ้นของจำนวนบุตร ย่อมนำไปสู่ความต้องการสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้อง เช่น สินค้าอุปโภคบริโภคสำหรับเด็ก ของเล่น และบริการด้านการศึกษา ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการผลิต การจ้างงาน และการหมุนเวียนของเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจ
  • การลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม: เงื่อนไขการรับสิทธิ์ที่กำหนดให้เลี้ยงดูบุตรในชนบท อาจเป็นปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในภูมิภาค ลดความเหลื่อมล้ำระหว่างเมืองกับชนบท และส่งเสริมการกระจายโอกาสทางการศึกษา สาธารณสุข และการพัฒนาคุณภาพชีวิตสู่ประชากรในพื้นที่ต่างๆ

ผลเสียและข้อจำกัดที่อาจจะเกิดขึ้น

  • ภาระทางการคลัง: การเพิ่มเงินสงเคราะห์บุตร ย่อมก่อให้เกิดภาระทางการคลังของรัฐบาล ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาค และการจัดสรรงบประมาณเพื่อการพัฒนาในด้านอื่นๆ
  • ความยั่งยืนของนโยบาย: การแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานโดยอาศัยการเพิ่มจำนวนประชากร อาจไม่สามารถตอบโจทย์ในระยะยาว เนื่องจากต้องใช้ระยะเวลาในการพัฒนาศักยภาพของบุตรจนกว่าจะเติบโตเป็นกำลังแรงงาน และอาจไม่สอดคล้องกับสถานการณ์การลดลงของอัตราการเกิด ซึ่งเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นทั่วโลก
  • ความเสี่ยงด้านคุณภาพประชากร: การมุ่งเน้นที่ปริมาณประชากร อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพ หากพ่อแม่ขาดความพร้อมในการเลี้ยงดู ทั้งในด้านเวลา ความรู้ และฐานะทางเศรษฐกิจ ย่อมส่งผลต่อพัฒนาการของเด็ก และอาจก่อให้เกิดปัญหาสังคมในระยะยาว
  • ความเหลื่อมล้ำในสังคม: นโยบายนี้อาจเอื้อประโยชน์ต่อผู้ประกันตนมาตรา 33 ซึ่งเป็นแรงงานในระบบ แต่กลุ่มแรงงานนอกระบบ เช่น เกษตรกร และแรงงานอิสระ อาจไม่ได้รับประโยชน์ ซึ่งอาจขยายช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมให้กว้างขึ้น

มองไกลกว่า "มีลูกเพิ่ม รับ 3,000" สู่การแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานอย่างยั่งยืน

มีลูก รับเงินเพิ่ม 3,000 บาท รมว.แรงงาน ชูนโยบายแก้วิกฤตประชากร

นโยบาย "มีลูกเพิ่ม รับ 3,000" แม้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่มุ่งหวังแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน แต่การพึ่งพาการเพิ่มจำนวนประชากรเพียงอย่างเดียวนั้น ไม่อาจตอบโจทย์ความท้าทายในระยะยาวได้ การวางแผนกำลังคน จำเป็นต้องอาศัย "มิติเชิงรุก" ที่ครอบคลุม และมองไปข้างหน้าอย่างเป็นระบบ เพื่อสร้าง "ภูมิคุ้มกัน" ให้กับตลาดแรงงานไทย ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก

  • พัฒนาศักยภาพทุนมนุษย์: การลงทุนใน "คน" คือ หัวใจสำคัญ เริ่มตั้งแต่การพัฒนาเด็กปฐมวัย สร้างพื้นฐานการศึกษาที่แข็งแกร่ง ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต พัฒนาทักษะแห่งอนาคต (Future Skills) ที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน เช่น ทักษะดิจิทัล ทักษะการคิดวิเคราะห์ และทักษะการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน เพื่อให้แรงงานไทยมีศักยภาพในการแข่งขัน และปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี
  • ยกระดับผลิตภาพแรงงาน: มุ่งเน้นการนำเทคโนโลยี และนวัตกรรม มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดการพึ่งพาแรงงานเข้มข้น ส่งเสริมระบบอัตโนมัติ (Automation) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในภาคการผลิต และภาคบริการ เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ และสร้างโอกาสในการทำงานรูปแบบใหม่
  • ปรับโครงสร้างแรงงาน: ส่งเสริมการเคลื่อนย้ายแรงงาน ทั้งภายในประเทศ และระหว่างประเทศ เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด พัฒนา "ระบบข้อมูลแรงงาน" ที่ทันสมัย เพื่อให้สามารถวิเคราะห์ และคาดการณ์แนวโน้มการจ้างงาน และทักษะที่ต้องการในอนาคต
  • สร้างหลักประกันทางสังคม: ขยายความคุ้มครอง และสวัสดิการ ให้ครอบคลุมแรงงานทุกกลุ่ม รวมถึงแรงงานนอกระบบ และแรงงานอิสระ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างความมั่นคงในการดำรงชีวิต
  • ส่งเสริมการมีส่วนร่วม: เปิดพื้นที่ให้ทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และสถาบันการศึกษา มีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย และขับเคลื่อนการพัฒนาแรงงาน เพื่อให้เกิดความสอดคล้อง และตอบโจทย์ความต้องการของประเทศอย่างแท้จริง

การแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน จึงไม่ใช่แค่การเพิ่มจำนวนประชากร แต่ต้องอาศัย "วิสัยทัศน์" และ "ความร่วมมือ" จากทุกภาคส่วน ในการสร้าง "ระบบนิเวศ" ของตลาดแรงงาน ที่เอื้อต่อการพัฒนา "คน" ให้เป็น "ทรัพยากรที่มีคุณค่า" และเป็นรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทย สู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต

อ้างอิง กระทรวงแรงงาน 

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT