นับตั้งแต่จีนเผชิญกับวิกฤติในภาคอสังหาริมทรัพย์และวิกฤติหนี้ของรัฐบาลท้องถิ่น อันบั่นทอนให้การเติบโตของเศรษฐกิจจีนมีทิศทางที่ชะลอตัวลง โดยสถาบันการเงินรายใหญ่หลายแห่งประเมินว่าเศรษฐกิจอาจไม่สามารถเติบโตได้ไม่ถึงอัตรา 5.0% ในปี 2025 อย่างที่ทางการจีนต้องการ
ทั้งนี้ แม้ในช่วงที่ผ่านมา ทางการจีนได้พยายามกระตุ้นเศรษฐกิจ สะท้อนการผ่อนคลายนโยบายธนาคารกลางจีน (PBOC) โดยเฉพาะช่วงปลายเดือนก.ย. ที่มีการประกาศมาตรการผ่อนคลายทางการเงินชุดใหญ่ แต่กระนั้น มาตรการกระตุ้นดังกล่าว อาจยังไม่พอสำหรับการกระตุ้นเศรษฐกิจจีน โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากข้อมูลที่บ่งชี้ถึงการใช้จ่ายของผู้บริโภคในประเทศ
ทั้งนี้นักลงทุนต่างผิดหวังกับการเปิดเผยการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ (NPC) ของจีน ในช่วงเดือนพ.ย. เนื่องด้วยนักลงทุนคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ใหญ่กว่าที่ประกาศออกมาและคาดหวังถึงมาตรการกระตุ้นการบริโภคภายในร่วมด้วยเพื่อรับมือกับการหวนคืนทำเนียบขาวของนายโดนัลด์ ทรัมป์
อย่างไรก็ดีในช่วงก่อนการเปิดเผยผลการประชุมดังกล่าว นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ได้ประเมินไว้แล้วว่ามาตรการกระตุ้นการบริโภคภายในนั้น อาจถูกนำมาพิจารณาในการประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทางการจีน ช่วงเดือนธ.ค. จากความเป็นไปได้ที่ว่า ทางการจีนอาจต้องการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายของทรัมป์ และพัฒนาการทางเศรษฐกิจภายในประเทศก่อน
ขณะที่เมื่อไม่นานมานี้ ทรัมป์ได้ประกาศปรับอัตราภาษีนำเข้าสินค้าทุกรายการจากจีนเพิ่มขึ้น 10.0% อีกทั้งยังส่งสัญญาณว่า หากกลุ่มบริกส์ (BRICS) ที่จีนเป็นสมาชิกก่อตั้งรายสำคัญ มีความพยายามในการให้กำเนิดสกุลเงิน เพื่อทดแทนการใช้เงินดอลลาร์นั้น จะถูกคิดอัตราภาษีนำเข้าที่ 100.0%
แม้ว่ากลุ่มบริกส์ไม่ได้ให้กำเนิดสกุลเงินใหม่ การเรียกเก็บภาษีกับจีนที่เพิ่มขึ้นเพียง 10.0% สู่ระดับ 30.0% นั้นนับว่าเป็นสถานการณ์ที่ดีต่อจีน เมื่อเทียบกับที่ทรัมป์เคยประกาศไว้ในช่วงหาเสียงว่า จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนที่ระดับ 60.0-100.0% อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า ไม่มีอะไรยืนยันว่าแผนการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนตามที่ทรัมป์หาเสียงไว้นั้น ได้ถูกละทิ้งออกจากแผนการดำเนินนโยบายของทรัมป์
อนึ่งจากข้อมูลการส่งออกของจีนในปี 2023 บ่งชี้ว่า สหรัฐนับเป็นตลาดส่งออกสินค้าจีนที่ใหญ่เป็นอันดับ 1 โดยคิดเป็นสัดส่วน 15.0% จากมูลค่าการส่งออกสินค้าของจีนทั้งหมดในรูปสกุลเงินดอลลาร์ ทำให้แนวโน้มการดำเนินมาตรการกีดกันทางการค้าต่อจีนของทรัมป์ อาจยิ่งซ้ำเติมภาคการผลิตของจีน และผลกระทบเชิงลบที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจจีนในครั้งนี้ อาจรุนแรงกว่าที่เกิดขึ้นในช่วงการดำรงตำแหน่งของทรัมป์ ระหว่างปี 2017-2020 เนื่องด้วยจีนมีแนวโน้มรักษาเสถียรภาพในระบบการเงิน ทำให้การกดเงินหยวนให้อ่อนค่าลง เพื่อชดเชยอัตราภาษีนำเข้าทีเพิ่มขึ้นนั้น อาจทำได้อย่างจำกัด
คาดการณ์ทิศทางค่าเงินหยวนของสถาบันการเงินรายใหญ่ 13 แห่ง จากการรวบรวมของสำนักข่าวซีเอ็นบีซี พบว่า ภายในสิ้นปี 2025 ค่าเงินหยวนโดยเฉลี่ยมีทิศทางอ่อนค่าลงสู่ราว 7.51 หยวนต่อดอลลาร์ ขณะที่แคปิตอล อีโคโนมิกส์ (Capital Economics) หนึ่งในกลุ่มสถาบันการเงินรายใหญ่ดังกล่าวให้คาดการณ์ว่า เงินหยวนอาจอ่อนค่าลงถึงระดับ 8.00 หยวนต่อดอลลาร์ ภายในช่วงระยะเวลาเดียวกัน
ทั้งนี้ เจพีมอร์แกน (J.P. Morgan) อีกหนึ่งสถาบันการเงินรายใหญ่ ที่ประเมินว่า เงินหยวนอาจอ่อนค่าลงมากสุดอีกเพียง 10.0-15.0% เพื่อชดเชยอัตราภาษีนำเข้าที่อาจถูกปรับขึ้นอีก ในช่วงการดำรงตำแหน่งของทรัมป์รอบนี้ ขณะที่หากจีนดำเนินการคล้ายกับช่วงรอบแรกของการดำรงตำแหน่งของทรัมป์ ค่าเงินหยวนอาจอ่อนค่าลงได้ราว 28.0-30.0% ขณะที่จากการให้ข้อมูลจากบุคคลที่เกี่ยวข้อง พบว่า แม้ธนาคารกลางจีน (PBOC) อาจปล่อยให้ค่าเงินหยวนอ่อนค่าลงได้มากขึ้น เพื่อลดผลกระทบจากการถูกตั้งกำแพงภาษี
อย่างไรก็ดี PBOC อาจเข้าชะลอให้เงินหยวนอ่อนค่าลงไม่ห่างจากบริเวณ 7.50 หยวนต่อดอลลาร์ ภายในช่วงระยะเวลา 1 ปีข้างหน้า หรืออ่อนค่าลงเพียง 3.50% จากบริเวณ 7.25 หยวนต่อดอลลาร์ ในปัจจุบัน ซึ่งการอ่อนค่าลงได้ไม่มากนัก ก็เป็นผลสืบเนื่องมาจากข้อจำกัดจากความต้องการรักษาเสถียรภาพในระบบการเงินของจีน ด้วยเหตุนี้ หลายฝ่ายจึงประเมินว่าถึงความเป็นไปได้ที่ทางการจีนจะออกมาตรการกระตุ้นการบริโภคภายในที่มีขนาดใหญ่ เนื่องด้วยเศรษฐกิจจีนมีความจำเป็นต้องพึ่งกำลังซื้อภายในมากยิ่งขึ้น
หลังการเปิดเผยข้อมูลด้านเงินเฟ้อ เดือนพ.ย. ภายในวันเดียวกันนั้น ทางการจีนได้เปิดเผยผลการหารือจากที่ประชุมคณะกรรมการกรมการเมือง (Politburo Meeting) อันระบุถึงแนวโน้มการดำเนินนโยบายการคลังในเชิงรุกมากยิ่งขึ้น พร้อมส่งสัญญาณถึงการปรับนโยบายการเงินให้อยู่ในระดับที่ค่อนข้างผ่อนคลาย (Moderately loose policy stance) ซึ่งการส่งสัญญาณเช่นนี้ สะท้อนถึงการตะหนักของทางการจีนถึงความเสี่ยงเชิงลบทางเศรษฐกิจที่จะดำเนินต่อไปในปี 2025
ทั้งนี้ การปรับนโยบายการเงินในลักษณะ Moderately loose policy stance เช่นนี้ นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดวิกฤติการเงินในปี 2008 แต่นักวิเคราะห์จากหลายสำนักให้คาดการณ์ตรงกันว่า รัฐบาลจีนอาจไม่ได้อัดฉีดสภาพคล่องเท่ากับที่เคยเกิดขึ้นในช่วงปี 2008 อีกทั้งการส่งสัญญาณดังข้างต้นนั้น ไม่ได้มาพร้อมกับรายละเอียดในการดำเนินงาน เช่นเดียวกับผลการประชุมคณะทำงานว่าด้วยเรื่องเศรษฐกิจ (Central Economic Work Conference : CEWC) ที่แม้ได้เผยแนวทางในการกระตุ้นการบริโภคภายใน แต่แนวทางดังกล่าวนั้นไม่ได้พร้อมรายละเอียดในการดำเนินการที่ชัดเจนมากนัก
ขณะที่เมื่อพิจารณาจากความเป็นไปได้ในการดำเนินการที่ถูกประเมินไว้อย่าง การประกาศเพิ่มขนาดการขาดดุลอีก 1.4% สู่ระดับ 4.4% ในปีงบประมาณที่กำลังจะมาถึง ขณะที่ PBOC ถูกคาดการณ์ว่า อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกราว 0.4-0.6% ภายในสิ้นปี 2025 แต่ทั้งหมดนี้ นับว่ายังไม่สามารถชี้นำให้นักลงทุนเพิ่มมุมองเชิงบวกต่อทิศทางของเศรษฐกิจจีนได้มากนัก
ทั้งนี้ หากจีนกระตุ้นการบริโภคภายในอย่างที่ตลาดคาดหวัง ราคาทองคำอาจได้รับอานิสงส์เชิงบวก เนื่องด้วยจีนเป็นประเทศบริโภคทองคำรายใหญ่อันดับ 1 ของโลก สอดคล้องกับการศึกษาของสภาทองคำโลก (WGC) ที่พบว่า อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ คือปัจจัยพื้นฐานที่ขับเคลื่อนการบริโภคทองคำในประเทศ แต่เมื่อตลาดไม่ได้มีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มการกระตุ้นการบริโภคภายในของจีน ราคาทองคำจึงไม่ได้รับแรงหนุน จากการส่งสัญญาณกระตุ้นเศรษฐกิจในรอบนี้ของจีนมากนัก
อย่างไรก็ดี ด้วยผลกระทบจากแนวโน้มการกีดกันทางการค้าของทรัมป์ นักลงทุนจึงยังคงคาดหวังการเพิ่มแรงกระตุ้นทางเศรษฐกิจของทางการจีน โดยรอจับตาการประชุม CEWC ในช่วงเดือนมี.ค. ที่ถูกคาดการณ์ว่า อาจมีการประกาศดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจบางรายการอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น
อย่างไรก็ดี แม้จีนประกาศมาตรกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่สามารถชี้นำให้นักลงทุนเพิ่มมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจจีน แต่กระนั้น มุมมองเชิงบวกดังกล่าว มีส่วนหนุนให้ดัชนีตลาดหุ้นมีการปรับตัวขึ้นนั้น ลดการเข้าลงทุนในทองคำ โดย WGC ชี้ว่า ทุก 1.0 % ที่เพิ่มขึ้นในมูลค่าของดัชนีตลาดหุ้นจีน นั้นจะสร้างกดดันให้ความต้องการลงทุนในทองคำลดลง 0.4% ดังนั้น ราคาทองคำอาจไม่ได้รับแรงหนุนมากเท่าใดนัก จากการประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เว้นแต่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจีนจะฟื้นตัวขึ้นได้ จากการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าว ทองคำจึงมีแนวโน้มจะได้รับอานิสงส์เชิงบวกที่เพิ่มสูงขึ้น
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท YLG Bullion And Future จำกัด