ปี 2567 นี้ นับเป็นปีที่เศรษฐกิจโลกเผชิญกับความผันผวนและความไม่แน่นอนอย่างมาก ตั้งแต่ภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ปัญหาเงินเฟ้อ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางเศรษฐกิจของประเทศมหาอำนาจ ซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในวงกว้าง ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ ประเทศไทยจำเป็นต้องเตรียมพร้อมรับมือ และปรับตัวอย่างทันท่วงที เพื่อรักษาเสถียรภาพ และขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน
บทความนี้ SPOTLIGHT จะนำเสนอภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในปี 2567 พร้อมวิเคราะห์ปัจจัย ทั้งด้านบวกและด้านลบที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ รวมถึง ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาเศรษฐกิจไทย ให้สามารถก้าวข้ามผ่านความท้าทาย และบรรลุเป้าหมายการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
เศรษฐกิจไทย 2567 สวนกระแสโลก? กกร. ห่วงปัญหาหนี้สิน แนะทางรับมือผลกระทบเลือกตั้งสหรัฐฯ
สัญญาณเตือนภัยจากเศรษฐกิจโลกดังขึ้นอย่างชัดเจน โดยภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปี 2567 กำลังเผชิญกับภาวะชะลอตัวที่น่ากังวล สะท้อนจากตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ที่มีแนวโน้มขยายตัวในระดับต่ำ โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่า GDPโลกในปีนี้จะเติบโตเพียง 3.2% และมีแนวโน้มทรงตัวในปีหน้า
ภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซานี้ ได้รับการยืนยันจากดัชนีชี้วัดภาคการผลิตในเดือนตุลาคม แสดงให้เห็นถึงการหดตัวอย่างต่อเนื่องในประเทศเศรษฐกิจหลัก เช่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น ยิ่งไปกว่านั้น IMF ยังได้ออกมาเตือนถึงความเสี่ยงสำคัญหลายประการที่อาจฉุดรั้งเศรษฐกิจโลกในระยะข้างหน้า ได้แก่
- การกีดกันทางการค้าที่ทวีความรุนแรง: มาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศ ส่งผลกระทบต่อการค้าโลกและการลงทุน ทำให้เศรษฐกิจโลกขยายตัวได้ช้าลง
- อัตราเงินเฟ้อที่อาจกลับมาเร่งตัวขึ้นอีกครั้ง: ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่อาจกระตุ้นให้ราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์พุ่งสูงขึ้น นำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อที่รุนแรง
- ปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน: วิกฤตในภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน อาจลุกลามบานปลายและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ในตอนแรก
ปัจจัยลบเหล่านี้ เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจโลกยังคงมีความเปราะบาง และต้องเผชิญกับความท้าทายอีกมากในอนาคต
[เศรษฐกิจไทยเสี่ยงรับผลกระทบการค้าจากนโยบายภาษีใหม่]
การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อทิศทางเศรษฐกิจของไทย ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่เกี่ยวข้องอาจกลายเป็นความท้าทายต่อการส่งออกไทย โดยเฉพาะในส่วนของสินค้าที่มีการเกินดุลกับสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ ความเสี่ยงสำคัญที่ต้องจับตาคือการเพิ่มภาษีการนำเข้าและการใช้มาตรการกีดกันทางการค้าแบบใหม่ ซึ่งจะกระทบต่อสินค้าบางกลุ่มที่ไทยส่งออกได้ดี
กลุ่มสินค้าที่น่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุด ได้แก่ กลุ่มที่เกินดุลการค้าอย่างมากและมีมูลค่าการส่งออกที่เติบโตสูง เช่น ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ เซมิคอนดักเตอร์ และยางล้อ ซึ่งเป็นสินค้าที่มีบทบาทสำคัญต่อการส่งออกและเศรษฐกิจไทย รวมถึงกลุ่มที่เกินดุลการค้าปานกลาง แต่มีอัตราการเติบโตของการส่งออกที่น่าพึงพอใจ เช่น เครื่องปรับอากาศ และแผงโซลาร์เซลล์
นโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงภายหลังการเลือกตั้งนี้ ถือเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ภาครัฐและผู้ประกอบการจึงต้องเตรียมหาแนวทางร่วมกันในการปรับตัวและรับมือกับนโยบายใหม่ที่อาจเกิดขึ้น เพื่อปกป้องความสามารถในการแข่งขันและรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของไทย
[เศรษฐกิจไทยสวนกระแสโลก! ปี 2567 คาดเติบโต 2.6-2.8%]
แม้เศรษฐกิจโลกจะเผชิญกับความท้าทาย แต่เศรษฐกิจไทยในปี 2567 กลับมีแนวโน้มสดใสเกินคาด โดยคาดว่าจะขยายตัวได้ถึง 2.6-2.8% ซึ่งสูงกว่าที่เคยประเมินไว้ก่อนหน้านี้ แรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างแข็งแกร่ง มาจากภาคการส่งออกที่ได้รับอานิสงส์จากวัฏจักรขาขึ้นของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ส่งผลให้การส่งออกของไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้ถึง 2.5-2.9% ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้เช่นกัน
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยสนับสนุนอื่นๆ เช่น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ทั้งในด้านการเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ และการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ เพื่อกระตุ้นการลงทุนและการจ้างงาน ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลยังได้ออกมาตรการต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง และเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ตัวอย่างเช่น
- มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและผู้ประกอบการ SME: ช่วยลดภาระหนี้สิน และเพิ่มสภาพคล่องให้กับภาคธุรกิจ
- การแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการเช่าที่ดินระยะยาว 99 ปี: เพื่อดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ และส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
ด้วยปัจจัยบวกต่างๆ เหล่านี้ จึงช่วยสร้างความเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจไทยจะสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืนในระยะยาว
[กกร. ปรับเป้า GDP ไทยปี 2567] แนะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รับมือน้ำท่วม-สินค้าทุ่มตลาด
คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้ปรับเพิ่มประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปี 2567 โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะมีแนวโน้มขยายตัวได้ถึง 2.6-2.8% ซึ่งสูงกว่าที่เคยประเมินไว้ก่อนหน้านี้ การปรับเพิ่มประมาณการในครั้งนี้เป็นผลมาจากแรงขับเคลื่อนของภาคการส่งออก ที่ได้รับอานิสงส์จากวัฏจักรขาขึ้นของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ส่งผลให้การส่งออกของไทยมีแนวโน้มเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยคาดว่าจะขยายตัวได้ถึง 2.5-2.9% ซึ่งสูงกว่าประมาณการเดิมที่ 1.5-2.5% อย่างมีนัยสำคัญ
[ฝ่ามรสุมเศรษฐกิจ ก้าวต่อไปของเศรษฐกิจไทย]
แม้จะมีสัญญาณบวกจากมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อของภาครัฐ แต่เศรษฐกิจไทยยังคงต้องเผชิญกับความท้าทาย และฟื้นตัวได้ไม่เต็มศักยภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมเฉียบพลันในหลายพื้นที่ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคธุรกิจและการท่องเที่ยว สะท้อนจากผลสำรวจภาวะเศรษฐกิจภูมิภาคของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยที่บ่งชี้ถึงความเปราะบางของเศรษฐกิจ
ยิ่งไปกว่านั้น ปัญหาสินค้าทุ่มตลาดยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญที่บั่นทอนยอดขายของผู้ประกอบการในประเทศ ดังนั้น เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้าต่อไปได้ จึงจำเป็นต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เช่น การกระตุ้นการท่องเที่ยวในช่วงปลายปี ด้วยมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ควบคู่ไปกับการเพิ่มกำลังซื้อให้กับประชาชน เช่น โครงการคนละครึ่ง หรือมาตรการ E-Receipt ที่ช่วยเพิ่มกำลังซื้อให้กับประชาชนได้ถึงสองเท่า
นอกจากนี้ การเร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานก็เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อพัฒนาศักยภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมถึงการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ โดย กกร. สนับสนุนการแก้ไขกฎหมายเพื่อเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติเช่าที่ดินได้นานถึง 99 ปี ซึ่งจะช่วยดึงดูดเม็ดเงินลงทุนและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ
ทั้งนี้ การปรับแก้กฎหมายดังกล่าวจะต้องคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของประเทศ และต้องมีการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องและนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน
[กกร.หนุนแก้หนี้ครัวเรือน ช่วยเหลือลูกหนี้เปราะบางอย่างตรงจุดและยั่งยืน]
ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้แสดงจุดยืนสนับสนุนแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน ตามที่สมาคมธนาคารไทย กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เตรียมออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มเปราะบาง ทั้งในส่วนของประชาชนรายย่อยและธุรกิจขนาดเล็ก ที่กำลังประสบปัญหาภาระหนี้สินสูงและมีความยากลำบากในการชำระหนี้คืน
โดยมาตรการดังกล่าวจะมุ่งเน้นไปที่การช่วยเหลือลูกหนี้สินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถยนต์ และสินเชื่อ SME รายเล็ก ที่มีวงเงินสินเชื่อไม่สูงมากนัก และเริ่มมีปัญหาในการชำระหนี้ โดยอ้างอิงข้อมูล ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567 เป็นจุดเริ่มต้นในการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง มิใช่เพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าหรือชั่วคราวเท่านั้น
ทั้งนี้ รัฐบาลจะต้องมีมาตรการในการดึงทุกภาคส่วนเข้าสู่ระบบ รวมถึงการเชื่อมโยงข้อมูลกับฐานข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (NCB) เพื่อให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องสามารถเข้าถึงข้อมูลภาระหนี้ และความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ได้อย่างครบถ้วน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาหนี้สินเกินตัว และเพื่อให้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างตรงจุด เหมาะสม และเป็นธรรม ลดโอกาสการเกิดรอยรั่ว และต้นทุนแฝงต่างๆ ในระบบ เช่น การส่งเสริมการฝึกอบรมทักษะแรงงาน เพื่อเพิ่มรายได้ และเป็นทรัพยากรสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ SME รวมถึงการเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขัน และสร้างแต้มต่อให้กับผู้ประกอบการ SME เช่น การสนับสนุนให้ SME สามารถเข้าถึงโอกาสในการประมูลงานภาครัฐ
สำหรับแหล่งเงินทุนที่จะนำมาใช้ในมาตรการนี้ จะมาจาก 2 ส่วนหลัก ได้แก่ การลดเงินนำส่งเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ทั้งระบบเหลือ 0.23% และเงินสนับสนุนจากภาคธนาคาร โดยในขณะนี้ ธปท. และกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณารายละเอียดของมาตรการ และจะนำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป
[เศรษฐกิจไทย 2567 ฝ่าความท้าทาย สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน]
จากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังคงมีความผันผวนและเปราะบาง ประกอบกับความไม่แน่นอนทางการเมืองระหว่างประเทศ เศรษฐกิจไทยในปี 2567 จึงต้องเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน แม้จะมีปัจจัยสนับสนุนจากภายใน เช่น ภาคการส่งออกที่ขยายตัวได้ดี และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ แต่ก็ไม่อาจประมาทต่อปัจจัยเสี่ยงจากภายนอก เช่น ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ผลกระทบจากนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาภายหลังการเลือกตั้ง และปัญหาหนี้สินครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง
ดังนั้น เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็ง และรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศให้สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนท่ามกลางกระแสความเปลี่ยนแปลงทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนพึงตระหนัก และร่วมมือกันอย่างแข็งขัน โดยมีแนวทางการดำเนินงาน ดังต่อไปนี้
- เฝ้าระวัง และติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลกอย่างใกล้ชิด: วิเคราะห์ และประเมินผลกระทบจากปัจจัยภายนอก เช่น แนวโน้มเศรษฐกิจโลก นโยบายการค้าระหว่างประเทศ และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ เพื่เตรียมความพร้อม และปรับตัว รองรับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น
- ขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง: รักษาระดับการบริโภคภายในประเทศ ส่งเสริมภาคการท่องเที่ยว และเร่งรัดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และสร้างความเข้มแข็งจากภายใน
- ส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ: ปรับปรุงกฎระเบียบ และนโยบาย ให้เอื้อต่อการลงทุน เพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ซึ่งจะเป็นแรงสนับสนุนสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
- เร่งแก้ไขปัญหาหนี้สินครัวเรือน และภาคธุรกิจ: ออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ ส่งเสริมการปรับโครงสร้างหนี้ และสร้างวินัยทางการเงิน เพื่อลดความเปราะบางทางเศรษฐกิจ และป้องกันไม่ให้ปัญหาหนี้สินลุกลามบานปลาย จนส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโดยรวม
- พัฒนาศักยภาพ และขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจ: ส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรม เทคโนโลยี และการยกระดับทักษะฝีมือแรงงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และสร้างมูลค่าเพิ่ม ให้แก่สินค้า และบริการ ของไทย ในตลาดโลก
ด้วยความร่วมมือ และความมุ่งมั่นตั้งใจของทุกภาคส่วน ในการดำเนินงานตามแนวทางข้างต้น เชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า เศรษฐกิจไทยจะสามารถฟันฝ่าอุปสรรค และความท้าทายต่างๆ และเติบโตได้อย่างมั่นคง ยั่งยืน และมีเสถียรภาพในระยะยาว
นอกจากนี้ การขยายตัวทางเศรษฐกิจยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อของภาครัฐ และการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ เพื่อกระตุ้นการลงทุนและการจ้างงานในประเทศ ยิ่งไปกว่านั้น กกร.ยังมองว่ามาตรการต่างๆ ของภาครัฐ ทั้งในระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว เช่น การช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและผู้ประกอบการ SME และการปรับกฎหมายเกี่ยวกับการเช่าที่ดินระยะยาว 99 ปี เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศล้วนเป็นกลไกสำคัญในการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง และเสริมสร้างความเชื่อมั่นต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม กกร.ยังคงเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาโมเมนตัมการเติบโตทางเศรษฐกิจ และรับมือกับความท้าทายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ
[กกร. ชี้ภัยน้ำท่วมฉุดกำลังซื้อ แนะรัฐเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ]
แม้เศรษฐกิจไทยจะมีสัญญาณการฟื้นตัวจากมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อของภาครัฐ แต่ก็ยังไม่สามารถกลับมาเติบโตได้เต็มศักยภาพ เนื่องจากต้องเผชิญกับอุปสรรคสำคัญ นั่นคือ ภาวะน้ำท่วมเฉียบพลันที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม โดยเฉพาะภาคธุรกิจและภาคการท่องเที่ยว ผลสำรวจภาวะเศรษฐกิจภูมิภาคของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางทางเศรษฐกิจในหลายภูมิภาค ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติน้ำท่วมครั้งนี้
นอกจากนี้ ปัญหาสินค้าทุ่มตลาดยังคงเป็นปัจจัยลบที่กดดันยอดขาย และความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการในประเทศ ดังนั้น เพื่อประคับประคอง และขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตต่อไปได้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ภาครัฐจะต้องออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เช่น
- มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในช่วงปลายปี: เพื่อกระตุ้นการใช้จ่าย และดึงดูดนักท่องเที่ยว เข้ามาช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม
- มาตรการเพิ่มกำลังซื้อให้กับประชาชน: เช่น โครงการคนละครึ่ง หรือมาตรการ E-Receipt ที่ช่วยเพิ่มอำนาจซื้อ และกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชน ในช่วงต้นปีหน้า
- การเร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน: เพื่อยกระดับศักยภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
- การส่งเสริมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI): โดย กกร. สนับสนุนการปรับกฎหมายเกี่ยวกับการเช่าที่ดินระยะยาว 99 ปี เพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ และสร้างความเชื่อมั่น ให้กับนักลงทุน
สรุปแม้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2567 จะมีแนวโน้มขยายตัว แต่ก็ยังคงมีความเปราะบาง และต้องเผชิญกับความท้าทายต่างๆ ทั้งจากปัจจัยภายใน เช่น ภัยพิบัติน้ำท่วม และปัจจัยภายนอก เช่น ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ดังนั้น เพื่อรักษาโมเมนตัมการเติบโตทางเศรษฐกิจ และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจไทย จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ภาครัฐจะต้องออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น การช่วยเหลือลูกหนี้ การส่งเสริมการลงทุน และการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
กกร.ในฐานะตัวแทนของภาคเอกชน พร้อมที่จะร่วมมือกับภาครัฐ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้สามารถฝ่าฟันอุปสรรค และความท้าทายต่างๆ เพื่อบรรลุเป้าหมายการเติบโตอย่างยั่งยืนและมีเสถียรภาพในระยะยาว