ข่าวการปิดกิจการและปลดพนักงานที่มีมาให้เห็นอย่างต่อเนื่องตลอดปี “งูใหญ่” ประกอบกับสถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทยที่น่ากังวล โดยช่วงไตรมาส 2 ปี 2567 พุ่งสูงถึง 89.8% ต่อ GDP โดยกว่า 28% เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ สิ่งเหล่านี้คือภาพสะท้อนของเศรษฐกิจไทยในปี 2567 และทำให้เกิดคำถามตามมาว่าแล้วในปี 2568 หรือปี “งูเล็ก” ที่กำลังจะมาถึงนี้ ยังมีความท้าทายที่มากกว่ารออยู่หรือไม่ บทความนี้ SPOTLIGHT ขอหยิบยกมุมมองที่น่าสนใจจาก ดีลอยท์ ประเทศไทย มานำเสนอ
หากย้อนกลับไปในปี 2533 ต้องบอกว่าเศรษฐกิจไทยมีความรุ่งโรจน์อย่างมาก สะท้อนจากอัตราการเติบโตของ GDP สูงสุดในภูมิภาคอาเซียนที่ระดับ 11% และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยระหว่างปี 2533 - 2538 อยู่ที่ 8.7% ขณะที่อาเซียนมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่ 5.6% เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม หลังจากเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยก็เริ่มลดลง และต่ำกว่าหลายประเทศในอาเซียน โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (ปี 2557 - 2566) GDP ของไทยเติบโตเพียง 1.8% เท่านั้น ขณะที่อาเซียนมีการเติบโตมากกว่า 3.7%
ในส่วนของอัตราเงินเฟ้อรายเดือน ไทยยังคงสามารถควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ สะท้อนจากการที่ไม่เคยมีอัตราเงินเฟ้อสูงถึง 11% นับตั้งแต่เกิดวิกฤตต้มยำกุ้งจนถึงปัจจุบัน ขณะที่อินโดนีเซียและเวียดนามล้วนเคยเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อที่สูงกว่า 80% ในปี 2541 และกว่า 28% ในปี 2553 (ตามลำดับ) ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดการณ์ว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2567 อาจเติบโตเพียง 0.4% แต่จะเริ่มเข้ากรอบเป้าหมายที่ 1.1% ในปี 2568
อัตราเงินเฟ้อในระดับต่ำดังกล่าว ประกอบกับการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวด และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในเดือนธันวาคม 2567 ทำให้เกิดการคาดการณ์ว่า ธปท. อาจพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในอนาคต แม้จะมีการปรับลดไปครั้งหนึ่งแล้วเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
ทั้งนี้ การปรับอัตราดอกเบี้ยนั้นส่งผลกระทบต่อทิศทางของค่าเงินบาท หากค่าเงินบาทอ่อนค่าลง ก็จะส่งผลดีต่อภาคการส่งออก เนื่องจากผู้ส่งออกจะได้รับรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการขายสินค้าในตลาดต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นความหวังของเศรษฐกิจไทยในปี 2568
ดร. นเรนทร์ ชุติจิรวงศ์ ผู้อำนวยการบริหาร Clients & Markets ดีลอยท์ ประเทศไทย ชี้ให้เห็นว่าสวิตเซอร์แลนด์กำลังมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในฐานะตลาดส่งออกของไทย สะท้อนจากข้อมูลของสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ ที่ระบุว่าในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 ไทยได้ส่งออกไปยังสวิตเซอร์แลนด์มูลค่ากว่า 3,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
นอกจากนี้ สวิตเซอร์แลนด์ยังมีแนวโน้มที่จะเป็นคู่ค้าลำดับที่ 2 ของไทยในภูมิภาคยุโรป จากการเจรจาเกี่ยวกับความร่วมมือทางการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับสวิตเซอร์แลนด์ ในกรอบการเจรจา Free Trade Agreement ระหว่างไทยและสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (EFTA) ซึ่งรวมถึงสวิตเซอร์แลนด์ด้วย
ทางด้าน ทัศดา แสงมานะเจริญ เจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาอาวุโส Clients & Markets ดีลอยท์ ประเทศไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า การคว้าชัยชนะของ โดนัลด์ ทรัมป์ ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็ทำให้ความเสี่ยงทางการค้าโลกจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ไทยและผู้ส่งออกต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาจส่งผลให้เกิดการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทย
ในปี 2566 ไทยมีการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาเป็นมูลค่ากว่า 48,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 17% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด และเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนกว่า 18% ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 ดังนั้น การเพิ่มภาษีดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกและเศรษฐกิจของไทยอย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2568 ดีลอยท์ ประเทศไทย มองว่าสถานการณ์เศรษฐกิจไทยยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ขณะที่การบริโภคจากภาคเอกชนและการท่องเที่ยว ยังคงเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักสำหรับการเติบโตของ GDP ในปี 2568
สอดคล้องกับข้อมูลจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ TDRI ที่ชี้ให้เห็นว่าไทยควรพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพภูมิอากาศที่ร้อนขึ้น เพราะหากไม่สามารถปรับตัวได้ทัน ก็มีความเสี่ยงที่จะสูญเสียรายได้มากกว่า 60,000 ล้านบาทต่อปี จากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ทั้งนี้ การปรับตัวเพื่อตอบสนองต่อความท้าทายดังกล่าว สามารถทำได้ผ่านการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ เช่น การพัฒนามหรสพ พิพิธภัณฑ์ และดนตรีในร่ม รวมถึงการจัดเตรียมด้านแสงสว่างและการคมนาคมที่เหมาะสมสำหรับสถานที่กลางแจ้ง เพื่อให้สามารถปรับเวลาการท่องเที่ยวให้หลีกเลี่ยงช่วงเวลาที่อากาศร้อนจัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หากเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ผู้ประกอบการย่อมต้องเผชิญกับความท้าทาย ซึ่งในปีงูเล็กที่กำลังจะมาถึงนี้ ดีลอยท์ ประเทศไทย ได้สรุปความท้าทายสำคัญไว้ 3 ข้อ ดังนี้
ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ปัญหาด้านสภาพภูมิอากาศ และการขาดแคลนทรัพยากร จะมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการดำเนินงานของธุรกิจ ซึ่งผู้ประกอบการจำเป็นต้องมีแนวปฏิบัติที่ยืดหยุ่น เพื่อสามารถปรับตัวได้ไว รวมถึงการนำเทคโนโลยีการคาดการณ์มาใช้เพื่อลดความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ
บริษัทต่าง ๆ ต้องสร้างสมดุลระหว่างผลกำไรกับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคและข้อบังคับทางกฎหมาย ภายใต้การตรวจสอบจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เพิ่มขึ้น
ผู้ประกอบการควรพิจารณาการนำระบบ AI ขั้นสูงมาใช้ ควบคู่กับการจัดการปัญหาด้านอคติ ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล และการอัตโนมัติ เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการกำกับดูแลของมนุษย์กับนวัตกรรม ขณะเดียวกันการพัฒนาทางเทคโนโลยีที่รวดเร็ว จำเป็นต้องมีการยกระดับทักษะแรงงานเป็นอย่างมาก หากไม่เร่งพัฒนาทักษะใหม่ของแรงงาน อาจทำให้เกิดช่องว่างด้านความสามารถ และความท้าทายในการรักษาบุคลากรในองค์กร
“การเติบโตของ AI แบบ Agentic ถือเป็นแนวโน้มสำคัญในวงการ AI ที่ช่วยช่วยส่งเสริมการตัดสินใจแบบอัตโนมัติและมีเป้าหมายที่ชัดเจน นอกเหนือจากการสร้างเนื้อหาแล้ว ระบบเหล่านี้ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ส่งเสริมนวัตกรรม และยกระดับการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักร โดย AI แบบ Agentic แตกต่างจาก Generative AI ที่มุ่งเน้นการดำเนินกิจกรรมที่ซับซ้อนเพื่อบรรลุเป้าหมายเฉพาะ โดยอาศัยการเรียนรู้ของเครื่องและระบบอัตโนมัติ” ดร. นเรนทร์ กล่าว
ทั้งนี้ การประยุกต์ใช้ AI แบบ Agentic ยังครอบคลุมถึงการบริการลูกค้า การผลิต การขาย และการดูแลสุขภาพ ซึ่งนำเสนอความเชี่ยวชาญเฉพาะทางของแรงงาน นวัตกรรม และความน่าเชื่อถือ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความท้าทายในด้านการประสานงานของทีมงาน การปรับระดับความไว้วางใจ และการกำหนดเป้าหมายความสำเร็จ ซึ่งต้องอาศัยเป้าหมายที่ชัดเจน บทบาทของทีมงานที่มีประสิทธิภาพ และการกำกับดูแลที่สมดุล เพื่อปลดล็อกศักยภาพการเปลี่ยนแปลงของ AI แบบ Agentic และจัดการความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องในขณะเดียวกัน
แม้ว่าการเปรียบเปรยให้ความไม่แน่นอนสูงและกระแสของโลกที่กำลังดิสรัปผู้ประกอบการไทยเป็น ‘พิษร้ายของงูเล็ก’ ที่กำลังแทรกซึมเศรษฐกิจไทยปี 2568 ให้เจ็บปวด แต่จากมุมมองของ ดีลอยท์ ประเทศไทย ก็ทำให้เห็นแล้วว่า ‘เซรุ่มต้านพิษงู’ ของเศรษฐกิจไทยยังมี ขอเพียงเร่งปรับตัวให้สอดคล้องกับกระแสของโลกและเทคโนโลยี ไม่ว่างูเล็กจะพิษร้ายแค่ไหน คนไทยก็ไม่กลัว