ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์โลกมีความผันผวนอย่างมากในปีนี้ เนื่องจากสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนส่งผลกระทบโดยตรงต่อราคาสินค้าอย่าง ‘โกโก้’ และ ‘กาแฟ’ ซึ่งในช่วงท้ายปีนี้ก็มีแนวโน้วที่จะขึ้นแท่นสินค้าโภคภัณฑ์ที่ทำกำไรสูงสุดเป็นปีที่ 2 ติดต่อ
ตลอดปี 2024 ในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์สหรัฐฯ ราคาโกโก้ปรับตัวขึ้นมาเกือบ 3 เท่า และพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 12,931 ดอลลาร์ต่อตัน ในช่วงต้นเดือนธันวาคม 2024 ภายหลังมีการคาดการณ์ว่าอุปทานของโกโก้ในแอฟริกาตะวันตกจะปรับตัวลดลงอีกเป็นฤดูกาลที่ 4 ติดต่อกัน เนื่องจากสภาพอากาศที่แห้งแล้งและโรคของเมล็ดโกโก้ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้กดดันให้เกษตรกรผู้ปลูกโกโก้ลดพื้นที่เพาะปลูกลง แล้วหันไปทำเหมืองทองคำผิดกฎหมาย
สภาพอากาศที่แห้งแล้งดังกล่าวยังส่งผลกระทบต่ออุปทานกาแฟอีกด้วย โดยราคากาแฟอาราบิก้าในตลาดล่วงหน้าระหว่างประเทศ (ICE) พุ่งขึ้นไปแล้วมากกว่า 80% ทำสถิติสูงสุดในรอบเกือบ 50 ปี และคาดว่าในช่วงต้นปี 2025 จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก จากความกังวลว่าภัยแล้งรุนแรงในช่วงต้นปีจะส่งผลกระทบต่ออุปทานกาแฟในบราซิล ซึ่งเป็นผู้ผลิตกาแฟอาราบิก้ารายใหญ่ของโลก
ข้อมูลจากสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครเซี่ยงไฮ้ ระบุว่าความผันผวนอย่างมากของราคาเมล็ดกาแฟ ทำให้ร้านค้าขนาดเล็กอาจต้องปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจ หรือแม้แต่การเลือกที่จะปิดตัวลง เนื่องจากแรงกดดันด้านต้นทุนที่ผู้ประกอบการไม่อาจผลักส่วนต่างต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปยังผู้บริโภคได้ เพราะความอ่อนไหวต่อราคากาแฟที่เพิ่มขึ้น ก็มีแนวโน้มที่จะนำไปสู่การสูญเสียลูกค้าในที่สุด
สำหรับภาพรวมของตลาดสินค้าโภคภัณฑ์โลกในปี 2025 นักวิเคราะห์มองว่ายังคงถูกกดดันต่อเนื่องจากสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน รวมถึงความตึงเครียดด้านการค้าโลกจากการกลับมาสู่ทำเนียบขาวอีกครั้งของ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งคาดว่าจะมีการขึ้นภาษีศุลกากรของสินค้าหลายรายการ นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ที่แข็งค่าและทองคำก็ล้วนมีความน่าสนใจมากกว่าในฐานะสินทรัพย์ที่เป็นแหล่งหลบภัยของนักลงทุน ในช่วงเวลาเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน และมีความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ในหลายพื้นที่