หลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯทำให้ราคาบิตคอยน์พุ่งทะยานทำจุดสูงสุดใหม่ที่ระดับ 93,000 ดอลลาร์ เป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่าตลาดมีความมั่นใจในนโยบายด้านคริปโตของทรัมป์ที่ประกาศมาก่อนหน้านี้ว่าจะผลักดันมูลค่าของบิตคอยน์ไปได้ไกลกว่าปัจจุบัน
จะเรียกได้ว่าเวลานี้คือช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ที่สำคัญของบิตคอยน์ที่กำลังจะเริ่มต้นยุคใหม่สู่การเป็นสินทรัพย์ที่คนทั้งโลกให้การยอมรับ ในแง่ของการลงทุนนี้จึงเป็นช่วงเวลาที่มีความสำคัญที่สุดเพราะจะเป็นต้นทางของขาขึ้นครั้งใหญ่ (Super Cycle)
ก่อนอื่นมาดูปัจจัยระยะยาวที่จะผลักดันมูลค่าของบิตคอยน์ในฐานะ Store Of Value โดย Blackrock หนึ่งในผู้จัดการกองทุน Bitcoin ETF ที่มี AUM สูงที่สุดเปิดข้อมูลวิเคราะห์ว่าทำไมบิตคอยน์คือสินทรัพย์การลงทุนแห่งอนาคต?
นับตั้งแต่มีการก่อตั้งธนาคารกลางสหรัฐฯหรือ FED ในปี 1913 อำนาจการซื้อของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐมีแต่แนวโน้มขาลง มีกระเตื้องขึ้นในช่วงปี 1933 ที่เริ่มมีการนำทองคำมาเป็นสินทรัพย์สำรอง แต่มาถึงปี 1971 ได้ยกเลิกระบบ Gold Standard กำลังซื้อของสกุลเงินดอลลาร์ได้ลดลงมาอย่างต่อเนื่องจนปี 2023 เหลือกำลังซื้อเพียง 0.03 ดอลลาร์เท่านั้น
การที่บิตคอยน์มีคุณลักษณะที่ใกล้เคียงกับการเป็นระบบการเงินทางเลือกของโลกด้วยคุณสมบัติเด่นที่มีซัพพลายจำกัด มีการกระจายอำนาจ มีต้นทุนการจัดเก็บต่ำ มีข้อเสียเพียงแค่ความผันผวนสูงซึ่งน่าจะแก้ไขได้ในอนาคต ด้วยเหตุผลนี้นักลงทุนสามารถที่จะแบ่งเงินลงทุนบางส่วนมาถือครองบิตคอยน์เพื่อที่จะเอาชนะการด้อยค่าลงของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
ด้วยมาร์เกตแคปปัจจุบันที่เกือบจะแตะ 2ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับทองคำที่มีมาร์เกตแคป 14 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ยังถือว่ามีโอกาสเติบโตได้อีกมากในระยะยาว
ขณะที่ปัจจัยระยะกลาง ตัวชี้วัดมูลค่าของบิตคอยน์ที่ชัดเจนคือสภาพคล่องทั่วโลกหรือปริมาณเงิน M2 ซึ่งเมื่อไรที่ M2 ขยายตัวจะส่งผลบวกต่อบิตคอยน์แต่ภาพระยะยาว M2 เติบโตมาอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว และตอนนี้ M2 กลับมาขยายตัวอีกครั้งหลัง FED เริ่มลดดอกเบี้ยและมีแนวโน้มเป็นขาลง จะเป็นตัวเร่งการเติบโตของบิตคอยน์
ส่วนของปัจจัยพื้นฐานยังมีปัจจัยหนุนหลังจากนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ คือการสนับสนุนให้สหรัฐฯถือครองบิตคอยน์ไว้ในระยะยาว พร้อมตั้งข้อเสนอเก็บบิตคอยน์เพิ่มให้ครบ 1 ล้าน BTC เพื่อเป็นสินทรัพย์สำรองเชิงกลยุทธ์ (Bitcoin Strategic Reserve)
รวมถึงแผนที่จะเปลี่ยนแปลงตำแหน่งประธาน ก.ล.ต.สหรัฐฯ และนำคนที่มีทัศนคติเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมคริปโตมาทำหน้าที่แทน โดยมีแนวโน้มสูงมากที่นโยบายดังกล่าวจะได้รับการอนุมัติจากการที่พรรครีพับลิกันได้คะแนนเสียงทั้งในสภาล่างและสภาบนค่อนข้างมากทำให้การลงคะแนนเสียงของนักการเมืองทำได้อย่างรวดเร็ว
สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่นโยบายดังกล่าวถูกอนุมัติจนเป็นกฎหมาย น่าจะได้เห็นสถาบันการเงิน กองทุนเฮดจ์ฟันด์ กองทุน Pension Fund ตลอดจนบริษัทเอกชน มูลนิธิ องค์กรต่างๆหันมาถือบิตคอยน์มากขึ้นตลอดจนผู้ให้คำแนะนำการลงทุนอิสระ (IFA) ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของวอลสตรีทจะแนะนำบิตคอยน์และเหรียญคริปโตอื่นๆให้กับนักลงทุนที่เป็นลูกค้า นักลงทุนเหล่านี้มีเม็ดเงินลงทุนมหาศาลที่พร้อมจะผลักดันมูลค่าของบิตคอยน์ให้เติบโตมากยิ่งขึ้นและจะเข้ามาอยู่ในสินทรัพย์ทางเลือกสำหรับการจัดพอร์ตลงทุน
นอกจากนี้หน่วยงานกำกับดูแลทั่วโลกมีโอกาสที่จะผ่อนคลายกฎระเบียบต่างๆลงตามแนวทางที่สหรัฐฯทำให้บิตคอยน์ถูกเปิดกว้างสำหรับนักลงทุนทั่วโลก จากก่อนหน้านี้เราได้เห็นการเปิดตัวกองทุน Bitcoin ETF ในประเทศอื่นอย่างฮ่องกงและออสเตรเลียมาแล้ว และอาจนำไปสู่การตัดสินใจเก็บบิตคอยน์เป็น Reserve Asset ของกองทุนมั่งคั่งแห่งชาติและธนาคารกลางของชาติอื่นๆในอนาคต
ช่วงเวลานี้ถือเป็นการเริ่มต้นประวัติศาสตร์ใหม่ของบิตคอยน์จึงเป็นช่วงเวลาที่จะสามารถสร้างผลตอบแทนในระยะยาวได้ดีที่สุดและด้วยซัพพลายที่มีจำกัดเราอาจไม่ได้เห็นบิตคอยน์ในราคาปัจจุบันอีกแล้ว
หมายเหตุ บทความนี้ไม่ใช่คำแนะนำการลงทุน นักลงทุนควรตัดสินใจลงทุนด้วยปัจจัยอื่นๆประกอบในหลายด้าน
ประธานเจ้าหน้าที่ปฎิบัติการ บริษัท เมตาที จำกัด และ นายกสมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทย