Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ปรับพอร์ตการลงทุนอย่างไร ให้ทำกำไร รับเศรษฐกิจปีงูเล็ก
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

ปรับพอร์ตการลงทุนอย่างไร ให้ทำกำไร รับเศรษฐกิจปีงูเล็ก

30 ธ.ค. 67
00:00 น.
|
61
แชร์

Highlight

ไฮไลต์

  • SCB CIO แนะ  Core port  ลงทุนหุ้นกลุ่ม Quality Growth ในสหรัฐฯที่สอดรับกระแส AI และหุ้นกลุ่ม Defensive เพื่อลดความเสี่ยงจากผลกระทบสงครามการค้า 
  • หุ้นอินเดีย อินโดนีเซีย จีน A-Share และไทย รับอานิสงส์ทางการจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
  • Finnomena Funds  มองตลาดหุ้นอินเดีย เวียดนาม ยังน่าสนใจลงทุน ส่วนตลาดหุ้นไทย ลุ้นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการเบิกจ่ายจากภาครัฐฟื้นตัว 

เตรียมนับถอยหลังเข้าสู่ปี 2568 กันแล้ว ปีที่ท้าทายนักลงทุนอย่างมากเพราะมุมมองของสำนักวิจัยหลายแห่งพร้อมใจกันมองว่า ปีมะเส็ง หรือ ปีงูเล็ก ที่กำลังจะมาถึงนี้เศรษฐกิจอาจไม่สู้ดีนัก มีแนวโน้มชะลอตัวลงจากปี 2567 ซึ่งในมุมการลงทุนนั้นไม่ได้แปลว่า ทุกสินทรัพย์จะแย่ไปกันหมด หลายตลาดอาจยังเป็นโอกาสของการเติบโตได้ดี เพียงแต่นักลงทุนคงต้องพิจารณาข้อมูล และประเมินความเสี่ยงให้รอบด้านมากขึ้นกว่าเดิม

SPOTLIGHT รวบรวมมุมมองจาก 2 ค่ายคือ SCB CIO  และ Finnomena ที่วิเคราะห์ถึงแนวโน้มการลงทุนในปี 2568 มาฝากกัน ซึ่งต้องไฮไลต์เลยว่า คำแนะนำการลงทุนส่วนใหญ่เทน้ำหนักในการลงทุนต่างประเทศเสียเป็นส่วนใหญ่ ด้วยเหตุผลสำคัญหลายข้อ 

SCB CIO แนะลงทุนหุ้นสหรัฐ Quality Growth

    เศรษฐกิจโลกชะลอ สหรัฐฯยังโตดีกว่าหลายประเทศ

ก่อนไปถึงคำแนะนำการลงทุน อยากให้ทุกท่านเห็นภาพของสถานการณ์เศรษฐกิจในปี 2568 กันก่อนซึ่งคุณศรชัย สุเนต์ตา ,CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Office and Product กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ ระบุว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวช้าลง โดยอ้างอิงจากการคาดการณ์ GDP ของ SCB EIC ล่าสุด ในเดือน พ.ย. 2567 พบว่า GDP โลกปีนี้จะขยายตัว 2.7% และขยายตัวชะลอลงอยู่ที่ 2.5% ในปี 2568 จากความไม่แน่นอนด้านนโยบายกีดกันการค้าของโดนัลด์ ทรัมป์ โดยทิศทางแนวโน้มเศรษฐกิจจะขยายตัวมากน้อยขึ้นอยู่กับความรุนแรงในการดำเนินนโยบายกีดกันการค้า และระยะเวลาที่จะเริ่มใช้นโยบายนี้   

คุณศรชัย สุเนต์ตา ,CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Office and Product กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์

เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มเติบโตลดลง แต่ยังขยายตัวสูงกว่าเศรษฐกิจประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ ซึ่ง SCB EIC คาดการณ์ว่า GDP สหรัฐฯ ในปี 2568 จะขยายตัว 1.9% ด้วยแรงหนุนจากนโยบายการปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล รวมถึงการผ่อนคลายกฎระเบียบต่างๆ แต่จะเผชิญความเสี่ยงจากนโยบายการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนเฉลี่ย 20% และประเทศอื่นๆ เฉลี่ยอีก 10% รวมถึงการกีดกันผู้อพยพ โดย ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะระมัดระวังการปรับลดอัตราดอกเบี้ยมากขึ้น ช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ตามแรงกดดันเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่อาจสูงขึ้น

    ปี 2568 แนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายเป็นขาลง 

สำหรับทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางหลักต่างๆในโลกยังมีแนวโน้มปรับลดลง แต่ด้วยแรงกดดันเงินเฟ้อที่อาจเพิ่มขึ้นจากนโยบายของทรัมป์รวมถึงความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ซึ่งคาดว่ายังคงยืดเยื้อต่อไปทั้งความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลาง ข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน และสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ถึงแม้ว่า ทรัมป์ จะออกมาประกาศว่าจะยุติสงครามโดยเร็วก็ตาม ทำให้ธนาคารกลางต่างๆ มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงน้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ 

    วิเคราะห์การลงทุนระยะสั้น-ยาว ในปี 2568 

SCB CIO คาดว่า เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (UST Yield Curve) มีแนวโน้มปรับเพิ่มความชันมากขึ้น แม้ Fed จะยังลดดอกเบี้ยต่อก็ตาม เนื่องจาก นโยบายของทรัมป์อาจจะทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นปรับตัวลดลงในขอบเขตจำกัดมากขึ้น ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวยังทรงตัวสูงอยู่ หรือปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากการขาดดุลงบประมาณที่สูงขึ้น ความเสี่ยงที่เงินเฟ้อยังลดลงช้า และเรามองว่า UST Yield Curve มีแนวโน้มเข้าสู่ Normal Yield Curve ซึ่งอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นอยู่ต่ำกว่าระยะยาว ในปี 2568  ดังนั้น  จึงแนะนำให้เน้นลงทุนหุ้นกู้สหรัฐฯ คุณภาพสูง (Investment Grade) ระยะสั้น 2-4 ปี ที่ให้ Yield อยู่ในระดับใกล้เคียงกับหุ้นกู้ระยะยาว และ Yield เฉลี่ยอยู่สูงกว่าประมาณการอัตราดอกเบี้ยระยะยาวของ Fed ที่ 3.0% นอกจากนี้ ความเสี่ยงที่ราคาจะลดลง ในกรณีที่ Bond Yield หรือ Credit Spread ปรับเพิ่มขึ้นยังอยู่ต่ำกว่าหุ้นกู้ระยะยาว

    ตลาดหุ้นสหรัฐฯ

ทั้งนี้ข้อมูลวิเคราะห์ในรายตลาด SCB CIO มองว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีแนวโน้มได้แรงหนุนจากกำไรต่อหุ้น(EPS) ที่ยังขยายตัวดี ท่ามกลางปัจจัยสนับสนุนจากกระแสการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของทรัมป์ แม้ว่าราคา ซึ่งวัดจากอัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) อยู่ค่อนข้างสูง แต่ความเสี่ยงที่จะปรับลดลงมากมีจำกัด จากแนวโน้มการเพิ่มผลตอบแทนผู้ถือหุ้น และโมเมนตัม EPS ที่ยังดี จึงแนะนำสำหรับการลงทุนในระยะยาว  เน้นหุ้นกลุ่ม Quality Growth ที่ EPS มีแนวโน้มขยายตัวดี และสอดรับกระแส AI ผสมผสานกับ หุ้นกลุ่ม Defensive ที่ทนทานทุกสภาวะตลาด เพื่อลดความเสี่ยงสงครามการค้า   

สำหรับการลงทุนในระยะสั้น  แนะนำหุ้นสหรัฐฯ ขนาดเล็ก  เช่น หุ้นในกลุ่ม  Russell 2000 ที่มีรายได้ส่วนใหญ่จากในประเทศ ทำให้ได้อานิสงส์ค่อนข้างมากจากนโยบายกระตุ้นต่างๆ ของทรัมป์ 

    ตลาดหุ้นญี่ปุ่นดูดีขึ้น

ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่นมีความน่าสนใจมากขึ้น จากแนวโน้มการปฏิรูปธรรมาภิบาล และมีแรงซื้อจากนักลงทุน ทั้งจากกรายย่อย ผ่านโครงการลงทุนที่ได้ประโยชน์ทางภาษี และจากกองทุนบำเหน็จบำนาญของรัฐบาลญี่ปุ่น (GPIF)  

    ตลาดหุ้นยุโรป - ปัจจัยลบจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์เพียบ 

ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรปยังเผชิญแรงกดดันจากความไม่แน่นอนทางการเมืองในเยอรมนีและฝรั่งเศส สงครามรัสเซีย-ยูเครน และความขัดแย้งในตะวันออกกลาง รวมทั้ง อาจเผชิญแรงกดดันจากการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้า ระหว่างสหรัฐฯ - ยุโรป และข้อพิพาททางการค้าระหว่าง จีน – ยุโรป บนประเด็นรถ EV

    ลงทุนตลาดหุ้นเกิดใหม่ต้องกระจายความเสี่ยงให้พอร์ต 

ส่วนตลาดหุ้นเกิดใหม่ ได้แรงสนับสนุนจาก Valuation ที่ยังถูกกว่าตลาดพัฒนาแล้ว ยกเว้นตลาดหุ้นอินเดีย ส่วน EPS มีแนวโน้มขยายตัวชะลอลง และเผชิญความเสี่ยงจากการกีดกันทางการค้ามากขึ้น ทำให้ตลาดหุ้นเกิดใหม่มีแนวโน้มผันผวนได้ในช่วงสั้น เราจึงแนะนำกระจายความเสี่ยงให้พอร์ต โดยเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นเกิดใหม่ระยะยาว ทั้งในตลาดหุ้นอินเดีย อินโดนีเซีย จีน A-Share และไทย เนื่องจากจะได้รับอานิสงส์จากการที่ทางการจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ท่ามกลางความเสี่ยงข้อพิพาทการค้ากับสหรัฐฯ ที่มีอยู่ และลงทุนระยะสั้นกับตลาดหุ้นเวียดนาม จากเศรษฐกิจเวียดนามในปี 2568 ยังมีแนวโน้มขยายตัวแข็งแกร่ง ได้แรงหนุน จากการลงทุนภาครัฐ และเงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) ที่ปรับเพิ่มขึ้น อีกทั้งเวียดนามกำลังดำเนินการยกระดับสถานะจากตลาดชายขอบ (Frontier Market) สู่ตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ขณะที่ ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนยังมีแนวโน้มขยายตัวดี สอดคล้องกับการขยายตัวของเศรษฐกิจ และ Valuation อยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยดัชนี VN Index ซื้อขายบน 12M Fwd P/E ที่ 10.2x ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี อย่างไรก็ตาม ยังมีความเสี่ยงที่สำคัญซึ่งอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจ คือ การที่ทรัมป์ ดำเนินนโยบายปรับขึ้นภาษีนำเข้ากับเวียดนาม แต่เรามองว่า จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นเวียดนามอย่างจำกัด

    ทองคำยังน่าลงทุนต่อในปี 2568

ด้านสินทรัพย์ทางเลือก SCB CIO  ยังคงแนะนำ ลงทุนระยะยาว ในทองคำ เพื่อป้องกันความเสี่ยงเงินเฟ้อที่อาจกลับมาเพิ่มขึ้น และความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจกลับมารุนแรงได้ ประกอบกับเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับแรงสนับสนุนจากการที่ธนาคารกลางในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาต้องการสะสมทองคำเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น 

Finnomena มองตลาดหุ้นอินเดีย เวียดนาม ยังน่าสนใจลงทุน 

    ลงทุนตลาดสหรัฐฯควรเลือกเป็นรายตัว 

ขณะที่มุมมองของ คุณวศิน ปริธัญ Managing Director บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เดฟินิท จำกัด ในเครือ Finnomena Group บอกว่า มุมมองการลงทุนปี 2025 ภายใต้นโยบาย ทรัมป์ 2.0 แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ​ จะยังขยายตัวต่อเนื่องในระดับปกติ ห่างไกลจากสภาวะถดถอย อัตราเงินเฟ้อยังเป็นขาลง ค่าเงินดอลลาร์ มีโอกาสกลับมาอ่อนค่า ตลาดหุ้นลดความกระจุกตัวลง แต่จากที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมามาก ทำให้มูลค่าเริ่มตึงตัว การลงทุนควรเลือกเป็นรายตัว

Finnomena

ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงจาก นโยบาย ทรัมป์ 2.0 ประกอบด้วย การตั้งกําแพงภาษีทําให้ยุโรปและจีน เกิดสภาวะเศรษฐกิจถดถอย ราคานํ้ามันปรับตัวสูงขึ้นจากปัญหาความไม่สงบ อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงจนธนาคารกลางสหรัฐฯ ไม่สามารถลดดอกเบี้ยได้ การตอบโต้ด้านการค้าจากประเทศอื่น ๆ ทําให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคน้อยลง ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงแรง จากความเสี่ยงการกระจุกตัวของการปรับขึ้นจากหุ้นกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมากจนเกินไป ดังนั้นการลงทุนในสหรัฐฯ มีมุมมอง Neutral เศรษฐกิจมหภาคไปต่อได้ แต่ Valuation ตึงตัวมาก การลงทุนควร Selective ทยอยสะสมกองทุน AFMOAT-HA, ASP-USSMALL-A

    แนะลดสัดส่วนการลงทุนใน ยุโรป-ญี่ปุ่น-จีน  

สำหรับมุมมองต่อตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว (Developed Market) เช่น กลุ่มยุโรป เศรษฐกิจจะฟื้นตัวช้า อาจได้รับผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ 2.0 เช่น การตั้งกําแพงภาษี และปัญหาสงคราม ส่งผลธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประสบความท้าทายเรื่องการลดดอกเบี้ยต่อ หรือคงดอกเบี้ย มุมมองการลงทุน Slightly Negative แนะนำทยอยลดสัดส่วน

ด้านตลาดหุ้นญี่ปุ่น คาดว่า เศรษฐกิจจะยังเติบโตได้แต่เปราะบางจากอัตราเงินเฟ้อที่สูง ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) มีท่าทีเข้มงวด (Hawk) มากขึ้น สวนทางธนาคารกลางสหรัฐฯ ค่าเงินเยนมีโอกาสแข็งค่าขึ้น จากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลเสียกับตลาดหุ้น มุมมองการลงทุน Slightly Negative แนะนำทยอยลดสัดส่วน

ขณะที่ตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) อย่างตลาดหุ้นจีน ยังไม่มีมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมหลังทราบผลเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และการประชุมเฟด ขณะที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ เริ่มเห็นปริมาณธุรกรรมฟื้นตัว แต่ต้องใช้เวลานานกว่าความเชื่อมั่นจะกลับมา ส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตชะลอลง ความไม่แน่นอนด้านความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้น การเติบโตของกําไรตลาดหุ้นจะเป็น K-shape โดยกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ ในประเทศจะโตตํ่า ขณะที่กลุ่มเทคโนโลยีจะเติบโตโดดเด่นกว่าจากการลดต้นทุนของบริษัท มุมมองการลงทุน Slightly Negative แนะนำทยอยลดสัดส่วน

    ตลาดหุ้นอินเดีย-เวียดนาม น่าสนใจลงทุน 

ตลาดหุ้นอินเดีย ระยะยาวแนวโน้มเศรษฐกิจยังเติบโตระดับสูง จากโครงสร้างประชากร และชนชั้นกลางที่ยังเติบโตสูง รวมถึงยังได้ประโยชน์จาก China+1 strategy ขณะที่ระยะสั้นได้รับผลกระทบจากการใช้จ่ายภาครัฐและการบริโภคในเมือง (Urban) ที่อ่อนแอ การเติบโตของกําไรชะลอตัวลงในปี 2025 จากกลุ่มการเงินที่มีการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อเพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงิน แม้ Valuation ของตลาดหุ้นอินเดียยังอยู่ในโซนแพง มุมมองการลงทุนยังมีความ Slightly Positive แนะนำทยอยสะสมกองทุน B-BHARATA, TISCOINA-A

ตลาดหุ้นเวียดนาม การเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับสูงและโดดเด่นกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ขณะที่ภาครัฐบาลมีท่าทีสนับสนุนภาคเอกชนเต็มที่ ค่าเงินดอลลาร์ที่มีแนวโน้มอ่อนค่าช่วยหนุนให้ ธนาคารกลางเวียดนาม (SBV) สามารถดําเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายได้มากขึ้น แม้ยังมีความไม่แน่นอนจากการขึ้นกำแพงภาษีของสหรัฐฯ กดดัน Sentiment ตลาดหุ้น และมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจสูง แต่การ Upgrade เข้าสู่ดัชนี EM Market ของ FTSE มีความคืบหน้า และรัฐบาลตั้งเป้าหมายให้ทันในเดือนกันยายน ปี 2025 Valuation ของตลาดหุ้นถูกมาก มุมมองการลงทุน Slightly Positive แนะนำทยอยสะสม PRINCIPAL VNEQ-A

    หุ้นไทยรอลุ้นเศรษฐกิจฟื้น 

ตลาดหุ้นไทย รัฐบาลเตรียมแผนออกมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติม เช่น โครงการของขวัญปีใหม่ 2568 เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย และโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้ให้แก่บุคคลธรรมดาและ SMEs การเบิกจ่ายภาครัฐฟื้นตัว รัฐบาลคาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 40 ล้านคน และตั้งเป้ารายได้รวมไว้ที่ 3.4 ล้านล้านบาท การได้ประโยชน์จาก China+1 strategy แม้ตลาดหุ้นถูกกดดันจากแรงเทขาย LTF ที่ครบกําหนด แต่จาก Valuation ยังถูกที่ระดับ -1 S.D. ส่งผลมุมมองการลงทุนอยู่ในระดับ Neutral

    สินทรัยพ์ทางเลือก ยกให้ทองคำยังน่าลงทุน 

สำหรับสินทรัพย์ทางเลือก เงินดอลลาร์สหรัฐฯ คาดจะอ่อนค่าลงเช่นเดียวกับช่วง Trump 1.0 ระยะยาวมีสัดส่วนเป็นสกุลเงินสํารองหลักน้อยลง มุมมองการลงทุน Slightly Negative, ทองคํา ธนาคารกลางยังซื้อต่อเนื่อง แรงซื้อ Gold ETF ตาม Real Yield อาจทรงตัว ได้อานิสงส์จากดอลลาร์อ่อนค่า และปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) แม้อาจมีแรงขายทํากําไรช่วงจุด all time high มุมมองการลงทุน Slightly Positive ทองคํา แบบ Hedge (ทอง USD) แนะนำทยอยสะสม SCBGOLDH

ส่วนราคานํ้ามัน กลุ่ม OPEC มีอิทธิพลในการควบคุมราคานํ้ามันลดลงหลังสหรัฐฯ เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ EIA คาด Supply เร่งตัวแรงกว่า Demand ในปี 2025 IEA คาดระยะยาวนํ้ามันมีความต้องการน้อยลง มุมมองการลงทุน Underweight แนะนำทยอยลดสัดส่วน

Cryptocurrency ยังได้รับแรงหนุนจากนโยบายสนับสนุนของ ประธานาธิบดีทรัมป์ Fund flow ของ Bitcoin และ Ethereum Spot ETF เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญในช่วงปลายปี 2024 กองทุนแนะนํา KT-BLOCKCHAIN-A, ASP-DIGIBLOC

ที่มาข้อมูล SCB CIO ,
คำเตือน  : การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจ

แชร์
ปรับพอร์ตการลงทุนอย่างไร ให้ทำกำไร รับเศรษฐกิจปีงูเล็ก