หุ้นโอ้กะจู๋ หรือ OKJ ร่วง 29.49% หรือราว 11 บาท (ณ เวลา 14.15 น.) แม้เปิดตลาดมาราคาอยู่ที่ 15.60 บาท เกิดอะไรขึ้นกับหุ้น OKJ ?
ช่วงนี้ใครลงทุนในตลาดหุ้นอาจจะผวาจากการปรับลงของดัชนี รวมไปถึงหุ้นรายตัวที่มีข่าวร้อนมาสั่นสะเทือนราคาอยู่เป็นระยะ โดยวันนี้ราคาหุ้น OKJ หรือหุ้นบริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด (มหาชน) ดิ่งติดฟลอร์ ร่วง 29.49% หรือราว 11 บาท (ณ เวลา 14.15 น.) แม้เปิดตลาดมาราคาอยู่ที่ 15.60 บาท หรือร่วงเกือบ 5 บาท ภายในเวลาเพียงแค่ 4 ชั่วโมง ทำมูลค่ามาร์เก็ตแคปหายไปนับพันล้านบาท
ซึ่งหากดูผิวเผินเราจะพบว่าโอ้กะจู๋ ยังสามารถเติบโตได้ดีทั้งรายได้และกำไร แต่สำหรับนักลงทุนแล้ว กำไร 39 ล้านบาท ในไตรมาส 4 ปี 2567 ถือว่าเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าคาดการณ์
โดยปัจจุบัน OKJ มีร้านค้ารวมกันมากถึง 57 ร้าน แบ่งเป็น :
บล.กรุงศรี ได้ออกมาวิเคราะห์ว่า OKJ ได้รายงานกำไรไตรมาส 4/67 อยู่ที่ 39 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าที่ฝ่ายวิจัยคาดไว้ เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นและค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารสูงกว่าคาด ส่งผลให้กำไรลดลงจากไตรมาสก่อน หรือ QoQ อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน หรือ YoY มีการเติบโต มาจากรายได้อยู่ที่ 697 ล้านบาท เติบโต 40% และโต 10% QoQ โดยมีสาเหตุหลักๆอยู่ที่ :
ส่วนทางด้าน Phillip Capital ได้ออกมาวิเคราะห์ว่า โดยรวมผลประกอบการ ไตรมาส 4 ปี 2567 ยอดขายดี เเต่ค่าใช้จ่ายสูง ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนเเปลงโครงสร้างค่าเช่าของสาขาเเละค่าใช้จ่ายในการเปิดใหม่ในเเต่ละสาขา ของร้านโอ้กะจู๋ 4 สาขา เเละเเบรนด์สมูททีอย่าง Oh! Juice ถึง 8 สาขา
โดยทางบริษัทมีการตั้งเป้าขยายร้าโอ้กะจู๋ 7-10 สาขาต่อปี โดยมียอดขายต่อเดือนที่ 3-14 ล้านบาท (ขึ้นอยู่กับขนาดของร้าน)
อย่างไรก็ตาม บล.กรุงศรี ได้คาดการณ์ แนวโน้มในไตรมาส 1/68 จะปรับตัวดีขึ้น โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากรายได้ของสาขาที่เพิ่งเปิดใหม่ โดยเฉพาะ 18 สาขาที่เปิดในช่วงครึ่งหลังของปีที่แล้ว ซึ่งน่าจะสามารถชดเชยค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องได้ และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารจะลดลงเนื่องจากไม่มีค่าใช้จ่ายสำหรับ Brand Admirer ที่บันทึกในไตรมาส 4/67 โดยยังคงประมาณการกำไรปี ปี 2568 -2570 โดยคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 25% ต่อปี จากรายได้ที่เติบโต 19% ต่อปี จากยอดขายสาขาเดิมที่เติบโต 5% และการเพิ่มจำนวนสาขาจาก 57 สาขาในปี 2567 เป็น 84 สาขาในปี 2570 รวมถึงคาดอัตรากำไรขั้นต้น 45.5% สนับสนุนโดยสัดส่วนรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากแบรนด์ที่มีอัตรากำไรสูง
ทั้งนี้ ประเมินว่าการเปลี่ยนแปลง 1% ในอัตรากำไรขั้นต้นและสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขาย จะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของกำไร 8% ยังคงคาแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 17 บาท ส่วนทางด้าน Phillip Capital เเนะนําซื้อราคาพื้นฐานที่ 18.80 บาท
บริษัทฯ รายงานกําไรสุทธิในไตรมาส 4/67อยู่ที่ 39.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.5 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 6.7เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่อัตรากําไรสุทธิอยู่ที่ร้อยละ 5.6 ลดลงร้อยละ 1.7เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจาก
อย่างไรก็ตาม กําไรสุทธิเมื่อไม่รวมรายการพิเศษที่เกิดขึ้นครั้งเดียวอยู่ที่ 60.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.9 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 65.1 เมื่อเทียบกับปีก่อน ส่งผลให้มีอัตรากําไรสุทธิอยู่ที่ร้อยละ 8.7 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3 เมื่อเทียบกับปีก่อน
อ้างอิง : Settrade