Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ฝ่าพายุโลกป่วน พอร์ตรอดได้ด้วย Core & Satellite
โดย : ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์

ฝ่าพายุโลกป่วน พอร์ตรอดได้ด้วย Core & Satellite

23 มี.ค. 68
00:01 น.
|
236
แชร์

เวลาเพิ่งผ่านมาแค่ 2 เดือนแรกเท่านั้น ทว่าตลาดการเงินโลกปีนี้ก​ต้องเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่ ทั้ง AI และการกลับมาของประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ที่เพิ่มอุณหภูมิจุดเดือด “ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์” ระลอกใหม่

โลกป่วนหนักขนาดนี้ เราควรวางแผนลงทุน อย่างไรดี เตรียมตัว อย่างไรบ้าง จะจัดพอร์ตลงทุนให้รอดได้ด้วยวิธีใด? มาหาคำตอบกันครับ ถ้าจะถามว่า สถานการณ์ตลาดหุ้นโลกป่วน จริงหรือไม่?

ผมฟันธงเลยครับ เราจะต้องเผชิญหน้ากับโลกป่วนอุตลุตเลยครับ จากปีนี้ถึง 5 ปีข้างหน้า เพราะภาพใหญ่ๆ ยังคงเป็นเรื่องของ “การแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ และจีน” เพื่อแย่งชิงกันเป็นที่ 1 ทั้งภาพรวมทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยี ความมั่นคง และเรื่องอื่นๆ ด้วย

จับตาการแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ และจีนใกล้ชิด

หลังจากที่จีนเปิดตัว DeepSeek R1 ของสตาร์ทอัพ AI จีนออกมา สร้างความฮือฮาให้กับโลกเมื่อเร็วๆ นี้ นักลงทุนส่วนใหญ่มองข้ามหรือลดน้ำหนักความสำคัญของการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ไปชั่วคราว และตอนนี้นักลงทุนกำลังกลับมาประเมินความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์กันใหม่อีกครั้ง หลังสถานการณ์มีแนวโน้มที่จะรุนแรงมากขึ้น

เมื่อวันที่ 21 ก.พ. ที่ผ่านมาคุณทรัมป์ ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อสั่งการให้คณะกรรมการการลงทุนจากต่างประเทศในสหรัฐอเมริกา (CFIUS) จำกัดการลงทุนของจีนในภาคส่วนที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ นอกจากนี้ ทรัมป์ ยังประกาศว่า รัฐบาลจะทำการตรวจสอบบริษัทต่างชาติที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ และจะทบทวนโครงสร้างการเป็นเจ้าของของบริษัทเหล่านี้ด้วย มาตรการตรวจสอบดังกล่าว คาดว่าจะส่งผลให้หุ้นจีนที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เผชิญภาวะขาดทุนเพิ่มขึ้นไปอีก จากหุ้นที่จดทะเบียนในฮ่องกงและจีนแผ่นดินใหญ่ที่ประสบภาวะขาดทุนอยู่แล้ว

สถานการณ์นี้อาจฉุดรั้งการพุ่งขึ้นของหุ้นเทคโนโลยีจีนที่เกิดขึ้นในปีนี้ หลังจากที่ปรับตัวขึ้นมามากตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว คุณทรัมป์ เปิดเกมรุกสกัดกั้นจีนลงทุนในเทคโนโลยีสหรัฐฯ ก่อให้เกิดความวิตกกังวลอย่างมากเกี่ยวกับการแยกตัวทางการเงินและเทคโนโลยีที่จะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน

มุมมองของ “นีโอ หว่อง” นักวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาคจีนจากบริษัท Evercore ISI มองว่า การที่หุ้นถูกเทขายอย่างหนักนั้น ไม่ได้เกิดจากความกังวลที่แท้จริงต่อสถานการณ์ แต่เป็นปฏิกิริยาของนักลงทุนที่ต้องการลดความเสี่ยงไว้ก่อน คือ "ขายก่อนแล้วค่อยถามทีหลัง"

และยังระบุอีกว่า รายการที่ทรัมป์ต้องการทำนั้น เป็นกลยุทธ์ในการเจรจาต่อรองกับจีนมากกว่า ทรัมป์ต้องการใช้สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องมือต่อรองเพื่อให้ได้เปรียบในการเจรจากัน

ภาพความเคลื่อนไหวขึ้นลงของหุ้นจีนในตอนนี้ เหมือนจะเป็นการแข่งขันระหว่างทรัมป์และรัฐบาลจีน ว่า ใครจะมีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นจีนมากกว่ากัน" ช้างสารชนกัน หญ้าแพรกก็แหลกกันไปครับ

อย่างไรก็ดี แม้ว่าหุ้นจีนจะปรับตัวลดลงจากประเด็นคุณทรัมป์สกัดกั้นจีนแต่โดยรวมแล้ว หากดูหุ้นของบริษัท Alibaba ที่ถูกเทขายทิ้งมากสุดนับตั้งแต่ปี 2565 แต่ถ้าดูราคาตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (YtD ณ 24 ก.พ.) กลับเพิ่มขึ้นมากกว่า 50% ในปีนี้ นอกจากนี้ บริษัทจีนอื่นๆ เช่น Bilibili Inc. (แพลตฟอร์มวิดีโอออนไลน์) และ JD.com  ก็เผชิญกับราคาหุ้นที่ลดลงกว่า 7% ในขณะที่ดัชนี Nasdaq Golden Dragon China ก็เพิ่มขึ้นเกือบ 12% ใครที่ลงทุนตามที่ผมแนะนำไปตั้งแต่ปีที่แล้ว วันนี้ก็มีกำไรติดมือกันแล้วใช่มั้ยครับ

เพราะวันนี้ทั่วโลกมองเห็นแล้วว่า อุตสาหกรรม AI มีความสำคัญ กำลังจะเข้ามาเปลี่ยนโลกมากขึ้นเรื่อยๆ ในระยะข้างหน้าถือเป็นเมกะเทรนด์ที่มีอนาคตเติบโตยาวๆ

ส่วนตัวผม มองจีนมีจุดมุ่งหมายสู่การเป็นผู้นำเทคโนโลยีและ AI ภายใต้แผน ‘Made in China 2025’ เทคโนโลยีด้าน AI ของจีน อาจจะไม่ได้โดดเด่นกว่าสหรัฐฯ ในด้านของประสิทธิภาพของเทคโนโลยี แต่โดดเด่นเรื่อง ‘ราคา’ เพราะใช้ต้นทุนต่ำกว่ามาก

อีกเรื่องหนึ่งคือ รัฐบาลจีนเริ่มกลับมาโฟกัสในส่วนของ Hard Tech มากขึ้น มากกว่าการผลิต Software ซึ่งจุดเด่นของจีนในข้อนี้คือ จีนสามารถผลิตสินค้าเหล่านี้ได้ในต้นทุนที่ต่ำ

ผมขอตอกย้ำภาพเด่นชัดยิ่งขึ้น จีนได้ส่งสัญญาณชัดเจนถึงทิศทางลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ และเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีระดับโลก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเข้มข้นที่เพิ่มขึ้นของการแข่งขันระหว่างสองประเทศ

ยิ่งคุณทรัมป์ปั่นป่วนโลกแค่ไหน จีนกลับแสดงพลังท้าทายที่เหนือกว่าให้โลกบันทึกประวัติศาสตร์ไว้ เมื่อวันที่ 18 ก.พ. ที่ผ่านมา ประธานาธิบดี ‘สี จิ้นผิง’ จัดประชุมสัมมนาเทคโนโลยีและเศรษฐกิจที่กรุงปักกิ่ง ระดมทีม All-Star พบเหล่าผู้นำซีอีโอของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ทั่วแดนมังกร เช่น Alibaba, BYD, Huawei, CATL, Xiaomi, Tencent, Meituan รวมถึง DeepSeek

ไฮไลท์สำคัญอยู่ที่การมาของ ‘แจ็ค หม่า’ แห่ง Alibaba ที่ได้เผชิญกับหน้ากับ ‘สี จิ้นผิง’ ในครั้งนี้ ยิ่งตอกย้ำและแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ว่า รัฐบาลจีนกำลังเปลี่ยนท่าทีหันมาสนับสนุนภาคเอกชน โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีอย่างเต็มที่

ภาครัฐเน้นย้ำว่า จะผลักดันอุตสาหกรรมเทคโนโลยีให้เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจแทนที่อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ที่เคยเป็นเสาหลักในอดีต สะท้อนทิศทางใหม่ของนโยบายรัฐบาลจีนที่ให้ความสำคัญกับภาคเทคโนโลยีมากขึ้น และจะเป็นเสาหลักอีกเสาที่เสริมแกร่งการเติบโตทางเศรษฐกิจจีนในอนาคต

แต่หากถามว่า แล้วความเสี่ยงเรื่องนโยบายคุมเข้มและกฎระเบียบที่เคยสร้างแรงกดดันต่อบริษัทเอกชนในช่วง 3-4 ปีก่อน จะหมดไปแน่หรือ ส่วนตัวผมคิดว่า น่าจะถือเป็นจุดสิ้นสุดการคุมเข้มภาคเอกชน การประชุมครั้งนี้จึงถือเป็นสัญญาณสำคัญที่ช่วยฟื้นความเชื่อมั่นของนักลงทุน และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ที่ภาคเอกชนจะมีบทบาทที่เพิ่มมากขึ้น

สถานการณ์โลกป่วนที่นอกเหนือจากเรื่องการแข่งขันในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีแล้ว ยังมีอีกหนึ่งสิ่งที่ต้องจับตามอง นั่นก็คือ นโยบายต่างๆ ที่ออกมาจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยเฉพาะเรื่องการขึ้นภาษีนำเข้า ซึ่งที่ผ่านๆ มาเริ่มไม่กระทบกับตลาดหุ้นแล้ว

ทั้งนี้ ล่าสุด คุณทรัมป์เตรียมทำสงครามการค้ากับยุโรป โดยขู่เรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์และสินค้าอื่นๆ จากยุโรปในอัตราสูงถึง 25% ขณะที่เดินหน้าเก็บภาษีแคนาดาและเม็กซิโก หลังจากที่ยื้อมา 1 เดือน และแน่นอนว่า แคนาดาและยุโรป ก็ออกมาประกาศพร้อมตอบโต้เช่นกัน ซึ่งชาวนักลงทุนก็ต้องติดตามความปั่นป่วนฝุ่นตลบนี้กันไปเรื่อยๆครับ

อย่างไรก็ตาม จากการวิเคราะห์นโยบายที่ผ่านๆ มาของคุณทรัมป์ มีเป้าหมายหลักคือ การเพิ่มรายได้เพื่อลดภาษีในประเทศ และดึงโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ให้กลับมาเปิดที่สหรัฐฯ กับอีกเรื่อง คือ การลดค่าใช้จ่ายฝั่งรัฐบาลให้เยอะที่สุด เรียกได้ว่ายังเป็นเรื่องที่ต้องติดตามต่อไปว่านโยบายต่างๆ จะกระทบหรือมีผลดีอย่างไรบ้าง

เรื่องสุดท้ายที่โลกจะปั่นป่วน ก็คือ ภูมิรัฐศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน หรือ อิหร่าน-อิสราเอล ที่ยังไม่ยุติ และอาจจะลุกลามมากขึ้นหากคุณทรัมป์ ดึงสหรัฐฯ เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย แต่อย่างไรก็ตาม คุณทรัมป์ เป็นนักธุรกิจนะครับ จีนก็เช่นเดียวกัน จะทำให้การตัดสินใจของเขามักจะจะพยายามไม่ให้กระทบกับภาคธุรกิจมากที่สุดเช่นเดียวกัน ถ้าไม่จำเป็นก็จะไม่ต้องการทำให้เกิดสงครามหรอกครับ

จัดพอร์ตให้รอดในวันที่โลกป่วนด้วย Core&Satellite

แล้วในวันที่โลกปั่นป่วนฝุ่นจะยังคงตลบไปอีกหลายปี คุณคงอยากรู้แล้วว่า ควรจัดพอร์ตให้รอดอย่างไรดีใช่มั้ยครับสิ่งหนึ่งที่แท้แน่นอน คือ โลกจะเป็นอย่างไร อนาคตจะเกิดอะไรขึ้น เราคงไม่สามารถควบคุมได้เลย แต่สิ่งที่เราต้องทำ คือ เตรียมความพร้อมรับมือให้ดีที่สุด เพราะเป็นสิ่งเดียวที่เราสามารถควบคุมได้ ดังนั้น คุณจำเป็นต้องจัดพอร์ตให้แกร่ง ทนทานเพื่อให้สามารถฝ่าวิกฤติ ฝ่าความผันผวนต่างๆ ไปได้

ง่ายๆ เลยครับ ผมแนะนำจัดพอร์ตแบบ Core & Satellite ที่สามารถปรับสัดส่วนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงตามความต้องการของคุณได้ ปกติ ถ้าเราเลือกลงทุนประเทศใดประเทศหนึ่ง ก็อาจตัดสินใจผิดก็ได้ เพราะการพยายามคาดการณ์หรือไปเสี่ยงกับสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง ที่มากเกินไป อาจไม่ใช่ทางออกที่ดีครับ ดังนั้น จึงกลับมาที่การจัดพอร์ต Core & Satellite

โดยพอร์ตหลักหรือ Core Port จะเป็นเหมือนกระดูกสันหลังของพอร์ตทั้งหมด ผมแนะนำให้คุณกระจายความเสี่ยงการลงทุนทั่วโลก เน้นเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่ค่อยๆ เติบโตอย่างมั่นคงหรือทำผลตอบแทนได้สม่ำเสมออาจจะต่ำแต่ก็มีความเสี่ยงต่ำด้วย

ส่วนพอร์ตรอง หรือ Satellite Port คือ เลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่มากขึ้น แต่คุณก็ต้องรับความเสี่ยงได้มากขึ้นด้วย ซึ่งปกติการจัดพอร์ตสูตรนี้จะให้น้ำหนักลงทุนใน Core Port สัดส่วนที่ 80% และอีก 20% ก็แบ่งไปลงทุนในพอร์ตรอง

ยกตัวอย่าง เช่น ปีนี้ มีกระแสว่าจีนกำลังมา ก็สามารถลงทุนจีนเป็นพอร์ตรองได้ เพราะต่อให้เราจะคาดการณ์ผิดและติดลบ ก็ยังมี Core Port ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนในพันธบัตร ตราสารหนี้คุณภาพ หุ้นทั่วโลกกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว หรือพวกดัชนีตลาดต่างๆ ซึ่งจะคอยช่วยพยุงให้ภาพรวมไม่ติดลบมากนัก หรือไม่ติดลบเลย

เมื่อเร็วๆ นี้ ผมเห็นข่าวมหาเศรษฐีนักลงทุนระดับโลกอย่าง “วอร์เรน บัฟเฟตต์" ตอนนี้เก็บเงินสดเพิ่มเป็น "12 ล้านล้านบาท" แล้ว นับรวมๆ ก็เก็บเงินสดต่อเนื่องมาราว 10 ไตรมาสติดต่อกัน เป็นช่วงที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ พุ่งขึ้นร้อนแรงก่อนที่โลกจะปั่นป่วนในปีนี้ แต่อย่างไรก็ตาม กระแสข่าวล่าสุดเมื่อวันที่ 25 ก.พ. ที่ผ่านมา คุณปู่บัฟเฟตต์ระบุในจดหมายประจำปีที่ส่งถึงบรรดาผู้ถือหุ้นของ Berkshire Hathaway ว่า บริษัทเทรดดิ้งทั้ง 5 แห่งในญี่ปุ่น ตกลงที่จะผ่อนคลายข้อจำกัด ที่เคยกำหนดสัดส่วนการถือครองหุ้นของ Berkshire Hathaway ไว้ไม่เกิน 10% ซึ่งคุณปู่ได้ลงทุนไว้ตั้งแต่ปี 2562

คุณปู่ยังบอกเพิ่มอีกว่า “ในอนาคต คุณอาจจะได้เห็นสัดส่วนการถือครองของ Berkshire Hathaway ในทั้ง 5 บริษัทนี้เพิ่มขึ้นบ้าง” แน่นอนว่า หุ้นบริษัทเทรดดิ้งญี่ปุ่นปรับตัวพุ่งขึ้นอย่างคึกคัก อาทิ Mitsubishi Corp, Mitsui & Co, Sumitomo Corp, Itochu และ Marubeni ซึ่งหุ้นญี่ปุ่น จะเติบโตช้าๆ แต่ไปเรื่อยๆ หลังจากที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นเริ่มฟื้นตัวกลับมาเติบโตได้ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ในยามที่หุ้นสหรัฐฯ กำลังปั่นป่วน ญี่ปุ่นก็เป็นอีกตลาดกลุ่มประเทศพัฒนาที่น่าสนใจลงทุนครับ

ดังนั้นในช่วงสถานการณ์ที่โลกปั่นป่วนวุ่นวาย คุณควรดูว่าตัวเองมี Core Port แล้วหรือยัง หรือจริงๆ แล้วมี Satellite Port อยู่หลายพอร์ต เช่น คุณลงทุนหลายประเทศเลย แต่ถ้าการลงทุนเหล่านั้น ยังจัดสัดส่วนได้ไม่ถูกต้อง ก็ถือว่ายังไม่เป็น Core Port นะครับ คุณก็ต้องปรับสัดส่วน Satellite Port ให้ลดลงมาให้ต่ำกว่า Core Port จะช่วยให้พอร์ตของคุณ ทนทานพร้อมเผชิญภาวะผันผวนสูง พอร์ตรวมก็จะไม่ติดลบมากหรืออาจไม่ติดลบเลย เพราะ Core Port ถือสินทรัพย์ที่แข็งแรงทนทานในสัดส่วนที่สูงกว่า เปรียบเสมือนคุณล้มบนฟูกเมื่อเกิดวิกฤติ อย่างไรอย่างนั้นเลยครับ

ผมขออธิบายในส่วนของพอร์ตรองเพิ่มเติมครับ เนื่องจากเป็นพอร์ตที่มีไว้เพื่อสร้างผลตอบแทนสูง ดังนั้น การเลือกลงทุน ควรกระจายทั้งหุ้นรายประเทศ และหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมหรือ Thematic ที่โลกกำลังหมุนไปทางนั้น เช่น AI ที่ขับเคลื่อนโลก ยกตัวอย่างการจัดน้ำหนักหุ้นรายประเทศ หากเป็นหุ้นจีน ก็ไม่ควรเกิน 10-15% ของพอร์ตรอง เป็นต้น เช่นเดียวกับ หุ้นเทคจีน หรือหุ้นเทคสหรัฐฯ

คุณอาจสงสัยทำไมผมเชียร์หุ้นจีนอยู่เสมอในช่วงนี้ ก็เพราะว่า ผมเห็นข้อมูล Market Prediction ที่พบว่าปัจจุบันในบรรดาหุ้นคุณภาพของจีน มีจำนวนหุ้นถูกมากกว่าหุ้นแพงเยอะมาก จากหุ้นคุณภาพระดับท็อป 50 ตัว มีหุ้นถูก 43 ตัว มีหุ้นแพงแค่ 7ตัว คิดเป็น 6.14 เท่า เห็นได้ว่ามีโอกาสสูงที่ลงทุนแล้วจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดี ดังนั้น ผมจะแนะนำลูกค้ากระจายลงทุนในหุ้นจีนเป็นพอร์ตรอง รวมถึงหุ้นฮ่องกง ธีมเทคโนโลยีจีน และธีมอื่นๆ ด้วยครับ

ส่วนใครที่ยังไม่กล้าลงทุนไม่รู้ว่าตลาดขึ้นมาแพงหรือยัง แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า ตลาดจะเป็นช่วงขาขึ้นหลังเราเข้าไปลงทุนแล้ว

ผมอธิบายให้เห็นภาพอย่างนี้ครับ ในช่วงตลาดหุ้นตกต่อเนื่องหรือที่เราชอบเรียกว่า Bear Market ตลาดหุ้นตกลงมากว่า 20% จากจุดสูงสุดก็จะเรียกว่าเข้าสู่โซน Bear Market แล้ว ซึ่งจริงๆ แล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าจุดต่ำสุดจะเป็นเท่าไหร่ แต่จุดกลับตัวคือ ตอนที่ตลาดหุ้นขึ้นๆ ลงๆ นั้น ไม่ได้ทำจุดต่ำสุดใหม่แล้ว ถือเป็นจุดที่เราเริ่มเห็นแล้วว่า “มันเป็นขาขึ้น” ครับ

อย่างเช่นหุ้นจีนที่เราเหมือนจะเห็นจุดกลับตัวแล้ว ก็คือในช่วงปีที่ผ่านมาที่หุ้นจีนตกมากๆ แล้วรัฐบาลอัดนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ช่วงปลายปีที่แล้ว ทำให้หุ้นพุ่งขึ้นมาเยอะมากๆ และปรับลงมาในบางช่วง แต่ก็ไม่ได้ตกลงไปถึงจุดต่ำสุดแล้ว ทำให้เห็นได้ว่าทุกคนพร้อมที่จะเข้าไปซื้อหุ้นในราคานี้แล้ว

 แต่ก็ไม่ใช่ว่า แค่เรื่องของคนที่รอจะซื้อหุ้นในราคาถูก แต่ต้องดูปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจร่วมด้วย เพราะถ้าพื้นฐานเศรษฐกิจ ตลาดหุ้น หรือกำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนโดยรวมเติบโต แม้ว่าความคาดหวังและความกลัวของนักลงทุนจะยังเหมือนเดิม สุดท้ายหุ้นจะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ ก็คือ จุดที่เศรษฐกิจหรือกำไรต่อหุ้นโดยรวมกลับมาเติบโต และความคาดหวังหรือความกลัวของนักลงทุนไม่ได้มากไปกว่านี้แล้ว หุ้นก็จะขึ้นได้อีกครั้งครับ

ส่วนใครที่ตอนนี้พอร์ตหุ้นติดลบ เริ่มกลับมาเท่าทุน แต่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่า ควรจะถือต่อหรือพอแค่นี้? ผมพบว่า สิ่งที่นักลงทุนมักทำผิดพลาด คือ ความอดทนถือตอนที่หุ้นตกเป็นระยะเวลาที่นานได้ แต่พอหุ้นกลับมาเท่าทุนหรือบวกขึ้นมาแล้วตัดสินใจขาย ทำให้พลาดโอกาสที่จะบวกต่ออีกเยอะ ยกตัวอย่างเช่น ดัชนี Nasdaq ที่ผ่านวิกฤติหลายๆ ครั้ง เช่นถ้าใครลงทุนในช่วงวิกฤติดอทคอม ในตอนนั้นที่กว่าตลาดหุ้นจะกลับมาก็กินเวลาไปกว่า 10 ปี ซึ่งถ้าคุณขายไปเลยตอนที่หุ้นกลับมา ก็จะพลาดโอกาสที่หุ้นนั้นจะโตไปอีกกว่า 4 เท่าในวันนี้

ถ้าใครกังวลว่าลงทุนไปแล้ว ปีต่อไปโลกเปลี่ยนแปลกแล้วจะต้องทำ อย่างไร จะย้ายไปลงตลาดไหนดี ก็สามารถลงทุน Jitta Ranking Alpha ให้ AI คอยรีวิวเลือกประเทศที่น่าลงทุนที่สุดในแต่ละปีให้ได้เลย

ผมก็หวังว่า คุณจะกลับมาทบทวนดูพอร์ตของตัวเองว่า ตอนนี้ได้จัดสัดส่วนการลงทุนสินทรัพย์ต่างๆ กระจายความเสี่ยงบาลานซ์แล้วหรือยัง และอย่าลืม เช็คให้ดีว่า พอร์ตนี้สามารถรับมือกับภาวะผันผวนที่จะเกิดจากสถานการณ์โลกปั่นป่วนหลายปียาวๆ ได้แค่ไหนด้วยนะครับ

แต่ถ้าคุณยังมีคำถามหรือไม่แน่ใจว่า จัดพอร์ตกระจายความเสี่ยงเหมาะสมกับตัวเองแล้วหรือยัง สามารถติดต่อสอบถามมายังผมหรือทีมงานหลังไมค์ได้นะครับ ผมมีคำแนะนำเป็นทางเลือกทางออกให้พอร์ตของคุณเติบโตยาวๆ ฝ่าพายุโลกผันผวนครับ

สุดท้ายนี้ ผมขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จในการลงทุนระยะยาวครับ ขอให้พวกเราลงทุนทำกำไรอย่างมั่นคงมั่งคั่งและยั่งยืนไปด้วยกัน สวัสดีครับ

ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์

ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. จิตตะ เวลธ์ จำกัด

แชร์
ฝ่าพายุโลกป่วน พอร์ตรอดได้ด้วย Core & Satellite