การขึ้นกำแพงภาษีกับหลายประเทศทั่วโลกของคุณ โดนัลด์ ทรัมป์ กลายเป็นประเด็นใหญ่ ที่ทำให้คนตื่นตัวว่าโลกจะเข้าสู่เศรษฐกิจถดถอย
ทำให้มีบริษัทมากมายที่จะได้รับผลกระทบ ตั้งแต่ ธุรกิจขนาดกลาง เล็ก ที่กำลังอยู่ในช่วงลงทุนเพื่อสร้างการเติบโต
ไปจนถึงบริษัทขนาดใหญ่ที่มีมูลค่ามากสุดในโลกตอนนี้อย่าง Apple เองก็หนีไม่พ้นเช่นเดียวกัน
โดยหลังจากนโยบายภาษีของทรัมป์ มูลค่าบริษัทของ Apple หายไปแล้วถึง 9.3 ล้านล้านบาท -9% ในเวลา 7 วัน จากความกังวลเรื่องภาษีที่จะทำให้ต้นทุนสินค้าหลักอย่าง iPhone เพิ่มสูงขึ้น
ก่อนที่ไม่นานมานี้ คุณ ทรัมป์ จะกลับลำประกาศยกเว้นภาษีตรงนี้ และออกมาบอกอีกครั้งว่า ภาษีนำเข้าสมาร์ตโฟน และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ จะกลับมาอีกครั้งในอีก 1-2 เดือนข้างหน้า ในอัตรา 10%-125%
คำถามคือแล้ว ถ้าการขึ้นภาษีของคุณ โดนัลด์ ทรัมป์ เกิดขึ้นมาจริง ต้นทุนของ iPhone เพิ่มขึ้นอย่างไรบ้าง ? ลองมาดูกัน
ถ้าจะเข้าใจเรื่องนี้ ก่อนอื่นก็มาดูโครงสร้างรายได้ของ Apple กันก่อน
- iPhone สัดส่วน 51.4%
- บริการ อย่างเช่น App Store สัดส่วน 24.6%
- อุปกรณ์อื่น ๆ สัดส่วน 9.5%
- Mac สัดส่วน 7.7%
- iPad สัดส่วน 6.8%
จะเห็นได้ว่ารายได้ครึ่งหนึ่งของ Apple มาจากการขาย iPhone ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นตรงนี้เลยเป็นประเด็นที่กระทบบริษัทโดยตรง
ทีนี้ มาดูกันต่อว่าชิ้นส่วน iPhone แต่ละชิ้น มาจากประเทศอะไรบ้าง แล้วมีสัดส่วนคิดเป็นเท่าไรจากต้นทุนทั้งหมด
จากต้นทุน iPhone 16 Pro ทั้งหมด 19,200 บาท จะแบ่งออกเป็น
- เซนเซอร์กล้อง จากประเทศญี่ปุ่น มีต้นทุน 4,500 บาท คิดเป็นสัดส่วน 23.4% ต่อต้นทุนทั้งหมด
- ชิปประมวลผล จากประเทศญี่ปุ่น มีต้นทุน 3,200 บาท คิดเป็นสัดส่วน 16.7% ต่อต้นทุนทั้งหมด
- หน้าจอ จากประเทศเกาหลีใต้ มีต้นทุน 1,400 บาท คิดเป็นสัดส่วน 7.3% ต่อต้นทุนทั้งหมด
- โมเดมรับสัญญาณ 5G จากประเทศเกาหลีใต้ มีต้นทุน 1,000 บาท คิดเป็นสัดส่วน 5.2% ต่อต้นทุนทั้งหมด
- ชิปความจำ จากประเทศสหรัฐอเมริกา มีต้นทุน 800 บาท คิดเป็นสัดส่วน 4.2% ต่อต้นทุนทั้งหมด
- หน่วยเก็บข้อมูล จากประเทศญี่ปุ่น มีต้นทุน 800 บาท คิดเป็นสัดส่วน 4.2% ต่อต้นทุนทั้งหมด
- กรอบ จากประเทศจีน มีต้นทุน 800 บาท คิดเป็นสัดส่วน 4.2% ต่อต้นทุนทั้งหมด
- แบตเตอรี่ จากประเทศจีน มีต้นทุน 800 บาท คิดเป็นสัดส่วน 4.2% ต่อต้นทุนทั้งหมด
- ชิ้นส่วนอื่น ๆ มีต้นทุน 7,000 บาท คิดเป็นสัดส่วน 36.5% ต่อต้นทุนทั้งหมด
จากข้อมูลตรงนี้ จะเห็นได้ว่าชิ้นส่วน iPhone มีที่มาจากหลายประเทศทั่วโลก ไม่ได้กระจุกอยู่ที่จีนอย่างเดียว เพราะอย่างนั้นต้นทุนเรื่องชิ้นส่วน คงไม่ใช่ประเด็นใหญ่
เพราะ คุณ ทรัมป์ ได้ยกเว้นภาษีนำเข้า 90 วัน กับประเทศคู่ค้าส่วนใหญ่ยกเว้นจีนไปแล้ว
ประเด็นหลักตอนนี้เลยไปอยู่ที่ การผลิต ที่กองกันอยู่ที่จีนแทน
รู้ไหมว่า 80% ของ iPhone บนโลกนี้ถูกผลิตขึ้นในจีน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมาจากบริษัทที่มีชื่อว่า Foxconn เป็นบริษัทสัญชาติไต้หวัน ที่มีโรงงานผลิตตั้งอยู่ในประเทศจีน
นั่นหมายความว่า ถ้า Apple นำเข้า iPhone ที่ Foxconn ประกอบเสร็จแล้ว มาขายในสหรัฐอเมริกา ด้วยอัตราภาษีสูงสุด 125% ต้นทุนของ iPhone ก็จะเพิ่มขึ้นเท่าตัวนั่นเอง
ซึ่งเรื่องนี้กระทบกับราคา iPhone ทั่วทั้งโลก เพราะปกติแล้ว iPhone จะตั้งราคาอิงตามราคาในสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก
หรือสรุปก็คือ ถ้าต้นทุน iPhone ในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นมา คนทั้งโลกก็จะต้องแบกต้นทุนเพิ่มตามไปด้วย
คำถามคือแล้ว Apple จะทำอย่างไรกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นตรงนี้
อย่างแรกที่เป็นไปได้ ก็คือ ขึ้นราคาผลักต้นทุนไปให้ผู้บริโภค
วิธีนี้ก็ตรงไปตรงมา คือการขึ้นราคาผลักไปให้ผู้บริโภค โดยที่บริษัทรักษาการทำกำไรเอาไว้ ซึ่งจากกรณีที่เกิดขึ้นตรงนี้ก็ต้องบอกว่า เราอาจจะได้เห็นราคา iPhone รุ่น Pro Max แตะหลักแสนได้เลยทีเดียว
อย่างที่สอง สต็อกสินค้าล่วงหน้า
ไม่นานมานี้ Apple ได้ใช้วิธีเร่งการผลิต และ นำเข้า iPhone จำนวน 1.5 ล้านเครื่อง จากประเทศอินเดีย ก่อนที่คุณ ทรัมป์ จะประกาศขึ้นภาษี
แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องบอกว่า ในแต่ละปียอดขาย iPhone นั้นอยู่ที่ราว ๆ 220 ล้านเครื่อง ซึ่งก็แปลว่าการพึ่งการผลิตจากอินเดียอย่างเดียวอาจจะยังไม่พอ
และถ้า Apple จะไปเพิ่มการผลิตในอินเดีย ก็ยังทำไม่ได้ เพราะติดเรื่องเทคโนโลยีการผลิตที่ยังทำได้ไม่เท่าจีน ทำให้ยังผลิต iPhone ในบางรุ่นไม่ได้
อย่างที่สาม กระจายการผลิตไปประเทศตัวเอง หรือ ประเทศอื่น
วิธีนี้ เป็นวิธีที่ต้องใช้เวลา อีกทั้งยังติดปัญหาเรื่องต้นทุน และ ความเชี่ยวชาญในการผลิตอีกด้วย
จากวิธีทั้งหมดนี้ จะเห็นได้ว่า ทางเลือกที่ง่ายที่สุด ทำได้เลย ก็คือการขึ้นราคา
ซึ่งโจทย์สำคัญก็คือจะขึ้นราคาอย่างไร ให้ผู้บริโภคยังยอมจ่าย และ ไม่กระทบยอดขาย ซึ่งจากอัตราภาษีที่สูงระดับนี้ ก็ต้องบอกว่าโจทย์นี้ไม่ง่ายที่จะแก้
และคำถามที่น่าสนใจก็คือ เราเองจะยังยอมจ่ายเงินซื้อ iPhone ในราคาครึ่งแสนถึงหนึ่งแสนไหม ? ซึ่งนั่นคือเรื่องที่ Apple กำลังคิดไม่ตกอยู่ หากนโยบายภาษีที่กลับลำไปมานี้ กลับมาอีกครั้ง..
และสุดท้ายคนที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ นอกจากตัวบริษัทเอง คู่ค้ากผู้บริโภค ก็คงเป็นผู้บริโภคที่ต้องแบกรับต้นทุนตรงนี้ไปด้วย
ที่มา:
-https://s2.q4cdn.com/470004039/files/doc_earnings/2024/q4/filing/10-Q4-2024-As-Filed.pdf