นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บิ๊กซี รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (BRC) เปิดเผยว่า “บิ๊กซี รีเทล ได้ซื้อกิจการร้าน AbouThai ทั้ง 24 สาขา ในฮ่องกง และเปลี่ยนชื่อเป็นบิ๊กซี (Big C) ซึ่งมีผลตั้งแต่เดือนกันยายน 2566 พร้อมวางแผนเปิดสาขาเพิ่มปีละ 25 สาขา เพื่อให้มีสาขารวมมากถึง 99 สาขา ภายในสิ้นปี 2569”
สำหรับการวางแผนการลงทุนระยะยาวในฮ่องกงด้วยงบประมาณกว่า 200 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง โดยคาดว่ายอดขายบิ๊กซีในฮ่องกงจะเติบโตอย่างรวดเร็วจะมากกว่า 1 พันล้านฮ่องกงดอลลาร์ในปี 2568 และมียอดขายเติบโตเพิ่มขึ้นที่ 1.5 พันล้านดอลลาร์ฮ่องกง ในปี 2569 และมีแผนที่จะนำเข้าสินค้าแบรนด์ดังจากประเทศไทยที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมากกว่า 80% เพื่อตอบสนองความต้องการและความต้องการของลูกค้าฮ่องกง
“การซื้อกิจการในครั้งนี้ถือเป็นก้าวแรกของ บิ๊กซี รีเทล ในการขยายธุรกิจออกนอกเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนการยกระดับ Big C ซูเปอร์มาร์เก็ตสัญชาติไทยในกลุ่ม TCC ให้มีคุณภาพระดับพรีเมียม รวมถึงมีความสนใจการลงทุนในโครงการพัฒนาไคตั๊ก (Kai Tak) เป็นพื้นที่มหาศาลอยู่กลางเมืองและติดริมน้ำ ซึ่งฮ่องกงต้องการให้ไคตั๊กเป็นต้นแบบในการพัฒนาเมืองฮ่องกงในอนาคต” นายอัศวินกล่าว
ท่ามกลางความท้าทายในช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา ฮ่องกงก็สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว เราเชื่อว่าฮ่องกงเป็นศูนย์กลางทางการเงินชั้นนำในเอเชียที่เชื่อมโยงตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับจีนแผ่นดินใหญ่ มีศักยภาพทางธุรกิจสูง รวมถึงเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยปัจจัยที่เอื้อต่อธุรกิจและการลงทุน มีความเชื่อมโยงอย่างแน่นแฟ้นกับจีนแผ่นดินใหญ่ซึ่งจีนเป็นหนึ่งในฐานลูกค้านักท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดของบิ๊กซีด้วยปัจจัยสนับสนุนเหล่านี้
โดย บิ๊กซี รีเทล ได้เลือกฮ่องกงเป็นตลาดแรกนอกเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลังจากขยายธุรกิจในประเทศไทย และประเทศเพื่อนบ้านทั้ง ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเพื่อขยายสาขาบิ๊กซีกว่า 2,000 แห่ง ในรูปแบบร้านค้าที่หลากหลาย ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ประกอบด้วย บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์, บิ๊กซี มาร์เก็ต, บิ๊กซี ฟู้ดเพลส และบิ๊กซี มินิ
สำหรับสำนักงานของ บิ๊กซี ในฮ่องกงจะเป็นสำนักงานอิสระและดำเนินงานเฉพาะบิ๊กซีในฮ่องกงเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่สำนักงานใหญ่หรือสำนักงานระดับภูมิภาค และการเข้าซื้อกิจการในครั้งนี้ยังตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องของ บิ๊กซี รีเทล ในการมองหาโอกาสในตลาดที่มีอยู่และการขยายสู่ตลาดใหม่เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด(มหาชน) หรือ BJC แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ขอชะลอแผนการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) และการนำหุ้นสามัญของบริษัท บิ๊กซี รีเทล คอร์ปปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BRC เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยออกไปก่อน
เนื่องจาก BRC พิจารณาแล้วเห็นว่า สถานการณ์ตลาดทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศมีความผันผวนจากสภาวะเศรษฐกิจโลกโดยรวม ซึ่งได้มีการหารือร่วมกับที่ปรึกษาทางการเงิน และได้มีการพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว ซึ่งได้มีการคำนึงถึงประโยชน์ของผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายโดยรวมเป็นหลัก