Tesla ปรับราคารถยนต์ไฟฟ้าตัวเองลงอีกในต่างประเทศ ตอบรับกระแสตลาดที่ค่อนข้างชะลอตัวลง ความต้องการ และกำลังซื้อไม่สูงเท่าเดิมในเวลานี้ นอกจากนี้วันนี้ทาง Spotlight จะพาไปหาคำตอบว่าทำไม บริษัท Tesla ถึงได้ ปรับราคารถลงได้เรื่อย ๆ แต่ยังคงได้กำไรที่น่าพอใจ
จากรายงานของทาง techspot ระบุว่ายอดขาย รถยนต์ EV ของ Tesla ที่ลดลงเกิดจากการหยุดไลน์ผลิตรถยนต์ EV ตามแผนเพื่ออัปเกรดโรงงานผลิต อย่างไรก็ตาม เป้าหมายยอดขายของบริษัทที่ประมาณ 1.8 ล้านคันในปี 2023 ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แม้ว่ายอดขายจะชะลอลง แต่ราคาหุ้นของเทสลาก็เพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่วันหลังจากมีการเปิดเผยตัวเลขล่าสุด และเพิ่มขึ้นกว่า 135 เปอร์เซ็นต์ โดยปัจจุบันราคาหุ้นของเทสลาอยู่ที่ 254.85 และมีมูลค่าหลักทรัพย์ 808.89 พันล้านดอลลาร์ ครองอันดับที่ 1 ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในโลก
นอกจากการหยุดไลน์ผลิตรถยนต์ EV การปรับลดราคารอบล่าสุดนี้ มีอีก 1 สาเหตุคือยอดขายที่ลดลงจาก ยอดผลิตรถ Tesla ล่าสุดไตรมาส 3 อยู่ที่ 430,488 คัน ส่งมอบให้ลูกค้าไปได้ทั้งหมด 435,059 คัน ลดลงมาจากไตรมาส 2 ที่ยอดผลิตที่ 479,700 คัน และยอดส่งมอบ 466,140 คัน
แต่ถึงแม้ว่าจะส่งรถได้น้อยลงไม่เป็นไปตามเป้าแต่บริษัท Tesla ยังคงมีกำไรจากข้อมูลล่าสุดที่ companiesmarketcap รายงานว่า รายรับในปี 2023 อยู่ที่ 94.02 พันล้านดอลลาร์ (ตัวเลขปัจจุบันยังไม่จบปี) ที่มากกว่าปีก่อน 15.43% อยู่ที่ 81.46 พันล้านดอลลาร์
จากรายงาน อีลอน มัสก์ ซีอีโอของ Tesla กล่าวในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาว่า เขาเชื่อว่าการลดราคาถึงแม้ว่าบริษัทจะได้กำไรน้อยลงไปบ้าง แต่วิธีนี้ถือว่านี้เป็นวิธีขับเคลื่อนการเติบโตจากกระแสตลาดที่ค่อนข้างชะลอตัวลง ดังนั้นการลดราคาในประเทศ สหรัฐอเมริกา จึงเป็นทางออกที่สมเหตุสมผล โดยรุ่นรถ EV ที่ปรับลดราคามีดังนี้
Model 3
ผลจากการลดราคารอบนี้ นักวิเคราะห์คาดว่าจะสร้างแรงกดดันให้กับผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าคู่แข่ง ที่อาจไม่มีความสามารถ ลดราคาลงมาสู้ในการแข่งขันกับเทสลาได้ ดังนั้นเวลานี้ทาง บริษัทเทสลาต้องการแย่งชิงสัดส่วนในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าให้ได้มากที่สุด เพราะเวลานี้ มีรถไฟฟ้าเกิดขึ้นมาหลากหลายแบรนด์ ที่มาพร้อมกับราคาที่เข้าถึงได้ ดังนั้นเทสลาจำเป็นต้องปรับลดราคาลงมาเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้ารายใหม่ ๆ
หลังจากการปรับราคาใหม่ในประเทศ สหรัฐอเมริกา เวลานี้ทาง TESLA ก็ประกาศลดราคา รถไฟฟ้า EV ในประเทศไทยลง โดยเฉพาะ Model Y ที่ถูกลงถึง 260,000 บาท โดยแบ่งได้ดังนี้
Tesla Model 3 ปรับราคาใหม่ รุ่น Minor Change ถูกลง 160,000 บาท
Model Y ตัวเริ่มต้น ถูกลง 260,000 บาท
จากรายงานของทางสำนักข่าว Reuters พบว่า Tesla มีกำไรจากการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 1 คัน มากกว่าบริษัทผู้ผลิตรถยนต์อื่น ๆ เป็นอย่างมาก โดย Tesla มีกำไรเฉลี่ย 15,636 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 577,000 บาท) ต่อคัน ในขณะที่บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายอื่น ๆ มีตัวเลขกำไรที่ได้จากการผลิตรถยนต์ 1 คัน ตามหลัง Tesla อยู่มาก เช่น Toyota มีกำไรเฉลี่ย 3,925 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 141,000 บาท) ต่อคัน
หากเทียบกับ Toyota ก็จะพบว่า Tesla มีกำไรจากการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 1 คัน คิดเป็น 4 เท่าตัวของ Toyota เลยทีเดียว อัตรากำไรที่สูงหรือส่วนต่างกำไรตรงนี้นี่เอง จึงเป็นช่องว่างที่ Tesla สามารถหั่นราคาขายรถของตัวเองลงได้ โดยที่ไม่เจ็บตัวมากนัก เมื่อเทียบกับคู่แข่ง
นอกจากนี้ ต้นทุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 1 คันของ Tesla นั้นยังลดลงเกินครึ่ง ภายในระยะเวลาเพียง 5 ปี โดยในปี 2017 Tesla มีต้นทุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 1 คัน อยู่ที่ 84,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3,190,000 บาท) แต่ในปี 2022 ต้นทุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 1 คันของ Tesla ลดลงเหลือเพียง 36,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1,320,000 บาท)
เพราะ Tesla ใช้ประโยชน์จากเรื่องของ Economies of Scale หรือ การประหยัดต่อขนาด วิธีนี้สามารถลดต้นทุนต่อหน่วยได้ เมื่อเพิ่มขนาดของการดำเนินงานหรือผลิตสินค้ามากขึ้น โดยทั่วไปแล้วจะวัดโดยปริมาณผลผลิตที่ผลิตต่อหน่วยเวลา การลดต้นทุนต่อหน่วยของผลผลิตทำให้เพิ่มขนาดได้ เช่น ต้นทุนเครื่องจักรและโรงงาน จะลดลงเมื่อผลิตชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์หรือสินค้ามากขึ้น เป็นต้น
นอกจากใช้ประโยชน์จาก Economies of Scale แล้วทาง Tesla ยังใช้ Tesla Giga Press จากคำอธิบายของทางเว็บไซต์ blink-drive คือ ชุดเครื่องหล่ออลูมิเนียมที่ผลิตโดย Idra Group ในอิตาลี มันมีความโดดเด่นเป็นเครื่องหล่อแม่พิมพ์แรงดันสูงที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีแรงยึด 55,000 ถึง 61,000 กิโลนิวตัน การใช้งานครั้งแรกของ OL 6100 CS Giga Press เริ่มต้นโดย Tesla, Inc. ในปลายปี พ.ศ. 2563 โดยมีการผลิต Tesla Model Y รถยนต์ไฟฟ้าที่มีโครงรถด้านหลัง ที่โรงงานเทสลาในฟรีมอนต์ แคลิฟอร์เนีย
ทั้งการปรับ Giga Press ช่วยให้ Tesla ผลิตโครงสร้างตัวถังของรถยนต์แบบโมโนค็อกได้ ซึ่งหมายความว่าโครงสร้างตัวถังทั้งหมดถูกหล่อเป็นชิ้นเดียว ซึ่งช่วยลดจำนวนชิ้นส่วนและรอยต่อ ทำให้ตัวถังมีความแข็งแรงและทนทานมากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดต้นทุนการผลิตและมีความสามารถในการปั๊มโครงสร้างตัวถังของรถยนต์ ได้ 40 - 45 คัน ในระยะเวลา 1 ชั่วโมงเท่านั้น
ทำให้เวลาที่ผ่านมาทางบริษัท Tesla สามารถขยายกำลังการผลิตขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากเริ่มต้นหลักหมื่นคัน จนทะลุ หลักล้านคัน เมื่อปี 2022 ที่ผ่านมา โดยอาจจะแตะ 1.8 ล้านคัน ในปี 2023 นี้ ทำให้ในเวลานี้ยิ่ง Tesla ผลิตรถเยอะมากเท่าไร ต้นทุนของการผลิตรถ 1 คัน ก็ยิ่งต่ำลงเท่านั้น และในอนาคตอันใกล้ เราอาจได้เห็นรถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla มีราคาหลักแสนบาทก็เป็นได้..
อ้างอิงข้อมูลจาก techspot,companiesmarketcap,Reuters และ blink-drive