จากสถานการณ์ช่วงโควิด และ การทำงานแบบ Remote Work ส่งผลให้ตลาดเทคโนโลยีเติบโตอย่างก้าวกระโดด เช่นเดียวกับวงผลิตชิป ทีอัตราความต้องการในตลาดสูงขึ้น หนึ่งในผู้เล่นตัวสำคัญ นั่นก็คือ บริษัท Qualcomm ยักษ์ใหญ่แห่งวงการผลิตชิป
บริษัท Qualcomm เป็นผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ซอฟต์แวร์ และบริการที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับเทคโนโลยีไร้สาย สำหรับแล็ปท็อป สมาร์ทโฟน รถยนต์ นาฬิกา รวมถึงชิปตัวอื่นๆ และถือว่าเป็นเจ้าแรกที่ให้บริการเทคโนโลยี 5G ปัจจุบันมูลค่าบริษัทสูงถึง 125.21 พันล้านดอลลาร์ (ณ วันที่ 18 ต.ค.66)
บริษัท Qualcomm เคยได้รับการจัดอันดับจาก Yahoo Finance ว่าเป็น Top 3 หุ้นเทคสุดแกร่งที่สามารถเอาตัวรอดจากสถานการณ์โควิดได้ เนื่องจากปี 65 มูลค่าหุ้นจะลดลงไปถึง 37.44% แต่กลับสามารถสร้างความเชื่อในหมู่นักลงทุนได้
เพราะช่วงนั้น บริษัทมีการเปลี่ยนกลยุทธ์จากการผลิตชิปให้แต่กับธุรกิจสมาร์ทโฟน มาเป็นขยายตลาดผลิตชิปให้แก่อุตสาหกรรมยานยนต์ รวมถึงได้มีการประกาศว่าจะเป็นผู้ผลิตชิป 5G ให้แก่ค่าย Apple อีกด้วย
สำนักข่าว Business Today รายงานว่า ล่าสุดวันที่ 18 ต.ค.66 บริษัท ควอลคอมม์ (Qualcomm) เตรียมจ่อปลดพนักงานกว่า 1,258 ชีวิต ในสำนักงาน 2 แห่ง นั้นก็คือเมืองซานดิเอโก และ เมืองซานตาคลารา รัฐแคลิฟอร์เนีย เนื่องจากรายได้ลดลงหลังจากธุรกิจชิปที่ซบเซาในไตรมาสที่ 3 ของบริษัท
โดยการเลิกจ้างในครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อตำแหน่งงานที่หลากหลาย โดยตำแหน่งงานที่มีผลกระทบมากที่สุดนั้นก็คือ วิศวกร ที่มีจำนวนมากถึง 750 ชีวิต ซึ่งมีการเลิกจ้างตั้งแต่ระดับผู้อำนวยการไปจนถึงช่างเทคนิค และเจ้าหน้าที่อื่นๆ เช่น เจ้าหน้าที่ด้านเทคนิคภายใน และพนักงานบัญชี
ทั้งนี้ ในรายงานเอกสารการเงินประจำปี ระบุว่า ปัจจุบันบริษัท Qualcomm มีพนักงานกว่า 51,000 คน (ณ เดือน ก.ย.66) การเลิกจ้างพนักงานในครั้งนี้คิดเป็น 2.5% ของพนักงานบริษัททั้งหมด โดยจะมีผลต่อสำนักงานทั้ง 2 แห่งในวันที่ 13 ธ.ค.66 นี้ แบ่งเป็นพนักงานในเมืองซานดิเอโก 1,064 คน และ พนักงานในเมืองซานตาคลารา 194 คน
Akash Palkhiwala ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (CFO) ได้กล่าวว่า การปลดพนักงานในครั้งนี้เกิดขึ้นจาก รายได้ของบริษัทลดลง สืบเนื่องจากธุรกิจชิปที่ซบเซาในไตรมาสที่ 3 ของบริษัท ทั้งนี้บริษัทต้องเร่งปรับปรุงทั้งการดำเนินการเชิงรุกด้านต้นทุนการผลิตเพิ่มเติม
ในขณะที่ CEO ของบริษัท Qualcomm อย่าง Cristiano Amon กำลังพยายามขยายตลาด กระจายผลิตภัณฑ์ไปยังพื้นที่ใหม่ๆ โดยเฉพาะในประเทศจีน แต่ก็ยังคงไม่ได้รับการตอบรับและดีดตัวกลับมาเท่าที่คาดการณ์ไว้
ที่มา : Business Today