ซัมซุง ยักษ์ใหญ่ หนุน GDP เกาหลีใต้ 17% เริ่มธุรกิจจากขายผัก-ปลาแห้ง

หากเราจะพูดถึง ซัมซุง เชื่อว่าใครหลายคนอาจจะคิดถึง โทรศัพท์ซัมซุงเป็นอันดับแรกๆ แต่รู้หรือไม่ ซัมซุง ไม่ได้มีดีแค่โทรศัพท์ แต่อาณาจักรของเค้าครอบคลุมทุกความต้องการของคนเกาหลีใต้ ขณะนี้กลายเป็นคนทั้งโลก จนมีคนเปรียบเปรยว่า

สำหรับคนเกาหลี 3 อย่างในชีวิต ที่หนียังไงก็ไม่พ้น ก็คือ ความตาย ภาษี และ ซัมซุง เพราะซัมซุง มีรายรับเท่ากับ 17% ของ GDP เกาหลีใต้ ที่ถือเป็นกลุ่มแชโบล (เจ้าสัว) ที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีใต้

แต่ว่าเส้นทางของเค้า เริ่มมาจาก จากการขายผัก ปลาแห้ง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ด้วยเงินไม่ถึง 1 พันบาท แถมยังสร้างธุรกิจในสมัยเกาหลีเคยเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่นอีก จนมาสู่วันนี้ที่เป็นบริษัทผู้ผลิตชิปเบอร์ 2 ของโลก  

บทความนี้ SPOTLIGHT จะพาทุกคนย้อนเวลากลับไปเมื่อ 86 ปีที่แล้ว กลับไปในวันแรกที่ ซัมซุง สร้างอาณาจักรของเค้าจากการขายผัก และปลาแห้ง ด้วยเงินลงทุนเพียงแค่  30,000 วอน  หรือราวประมาณ 774 บาท

จุดเริ่มต้นของอาณาจักรซัมซุง

อาณาจักรธุรกิจ Samsung ก่อตั้งโดย Lee Byung-chul  (ลี บย็อง-ช็อล) ตั้งแต่สมัยที่เกาหลียังเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น โดยเขาเปิดบริษัทที่เมืองแทกู (Daegu) ด้วยเงิน30,000 วอน หรือราวประมาณ 774 บาท ในปี 1938 หรือเมื่อ 86 ปีที่แล้ว หลายๆคนอาจจะคิดว่าเป็นไปได้อย่างไร เริ่มต้นธุรกิจจากเงินไม่ถึงพันเนี่ยนะ คำตอบก็คือ เค้าเริ่มต้นธุรกิจจากการขายสินค้าอุปโภค บริโภคง่ายๆ ซื้อมาขายไป อย่างเช่น ผัก ปลาแห้งหรือ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป โดยมีการขายส่งไปในเมืองแทกู และในประเทศจีนอีกด้วย

ส่วนชื่อของ Samsung หรือซัมซอง (ภาษาเกาหลี) เนี่ยแปลว่า ดาว 3 ดวง ซึ่งหากถ้าเราไปดูโลโก้แรกๆของซัมซุงเนี่ย เราก็จะพบว่า มีโลโก้ดาว 3 ดวงอยู่ ด้วยเจตนากรมย์ อยากให้บริษัททรงพลังและอายุยืนยาวเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้า  และสำหรับคนเกาหลี เลข 3 ถือว่าลขมงคล ส่วนดาวหมายถึงอำนาจและความยั่งยืน

หลังจากนั้นธุรกิจของ Samsung ก็เหมือนจะไปด้วยดี แต่ตอนนั้นเกาหลีต้องเจอกับ 2 สงครามใหญ่ นั้นก็คือ สงครามโลกครั้งที่ 2 และ สงครามเกาหลี แน่นอนว่าพอสงครามเกิด ประชาชนได้รับผลกระทบ ธุรกิจก็อยู่ไม่รอด ทำให้เค้าต้องขายสินค้าอื่น เพื่อเอาตัวรอด แต่เค้ามีความคิดที่ว่าในช่วงเวลาที่ทุกคนล้ม หากเค้าสามารถขยายอาณาจักร แบบกระจายความเสี่ยง บริษัทเค้าจะสามารถอยู่รอด และอาจกลายมาเป็นผู้นำได้ในไม่ช้า

โดยมีธุรกิจ เช่น โรงกลั่นน้ำตาลในเมืองปูซาน ธุรกิจสิ่งทอและสร้างโรงงานผ้าขนสัตว์ ขยายไปสู่ธุรกิจประกันภัย หลักทรัพย์ และค้าปลีก โดยเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมเพื่อให้ประเทศเกาหลีใต้กลับมาฟื้นตัวจากสงครามอีกครั้ง

จุดเปลี่ยนสำคัญของ ซัมซุง

ต่อมาในปี 1947 คุณ Lee Byung-chul ก็เจอพาร์ทเนอร์คนสำคัญ ที่มาช่วยอาณาจักร Samsung ไปด้วยกัน นั้นก็คือ คุณ Cho Hong-jai

ทั้ง 2 เลยมีการร่วมทุน ก่อนตั้ง Samsung Trading Corporation แต่สุดท้ายก็อยู่กันได้ไม่นานเท่าไหร่เพราะสไตล์การบริหารงานที่แตกต่างกัน แยกออกจากกันเป็น Samsung Group และ Cho’s Hyosong Group 

โดยปัจจุบัน บริษัท Hyosong Group ก็ยังมีอยู่ เค้าได้ทำธุรกิจเกี่ยวกับ อุตสาหกรรมเคมี เทคโนโลยีสารสนเทศ การพาณิชย์ การก่อสร้าง และสิ่งทอ แต่บริษัทเป็นที่ รู้จักในฐานะผู้ผลิตหม้อแปลงไฟฟ้า (transformer) และเครื่อง ATM ชั้นนำของเกาหลีใต้

Lee Byung-chul ได้บริหาร Samsung Group ต่อ แต่มีวิทัศน์ในครั้งนี้ว่า สินค้าที่จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้แก่บริษัท คือสินค้ากลุ่มไฮเทค ทำให้เค้าหันมาบุกตลาดนี้อย่างชัดเจนมากขึ้น

ในปี 1960 Samsung ขยายไปสู่อุตสาหกรรมปิโตรเคมี โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า มหาวิทยาลัย และสื่อ และ ปลายยุค 60 เริ่มผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีผลิตภัณฑ์แรกคือโทรทัศน์ขาวดำ 

ทศวรรษที่ 1970 ขยายไปอุตสาหกรรมต่อเรือ รถยนต์ ก่อสร้าง Semiconductor เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน สวนสนุก โรงแรมหรู และโฆษณา

ในทศวรรษที่ 1980 ได้เริ่มผลิตอุปกรณ์โทรคมนาคม และรวมธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์เข้าด้วยกันโดยจัดตั้งเป็นบริษัท Samsung Electronics และช่วงนี้เองนี่แหละค่ะ คือจุดเริ่มต้นของโทรศัพท์ Samsung

Galaxy SII โทรศัพท์ที่ทำให้คนรู้จักซัมซุง

ซัมซุงกลายมาเป็น บริษัทผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดของโลกในปี 1992 ใน ช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำของเอเชียปลายยุค 90

และเริ่มเข้ามาสู่ตลาดสมาร์ตโฟนในช่วงปี 2001 ด้วยรุ่น SPH-1300 ที่เป็นสมาร์ตโฟนแบบแตะหน้าจอรุ่นแรกๆ หลังจากนั้นเค้าก็พยายามพัฒนาโทรศัพท์ของตัวเองต่อมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเปิดตัว Galaxy SII ในปี 2011 และ Galaxy SIII ในปีถัดมาซึ่งเป็นโทรศัพท์รุ่นที่ทำให้คนเริ่มรู้จักซัมซุงในฐานะผู้ผลิตสมาร์ตโฟนระดับโลก

โดยปัจจุบัน ‘Samsung’ คือ กลุ่มธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีใต้ มีรายรับเท่ากับ 17% ของ GDP ธุรกิจ Samsung มีอิทธิพลในประเทศมากขนาดที่คนเกาหลีบางคนเรียกประเทศของเขาเองว่า ‘The Republic of Samsung’ จาการสร้างอาณาจักรของ ตระกูล Lee ที่คนเกาหลีรู้จักกันในตระกูล แชโบล (Chaebol) สำหรับคนเกาหลี 3 อย่างในชีวิต ที่หนียังไงก็ไม่พ้น ก็คือ ความตาย ภาษี และ ซัมซุง

ปัจจุบัน ซัมซุงมี ฐานการผลิต 25 แห่ง บริษัท 36 แห่ง และสำนักงานย่อย 23 แห่ง ที่ประจำอยู่ใน 46 ประเทศทั่วโลก รวมพนักงานทั่วโลกราว 3.5 แสนคน  

ในปี 2566 ซัมซุง มีมูลค่าแบรนด์สูงถึง 91,400 ล้านดอลลาร์ ครอง 5 คว้าอันดับ 5 แบรนด์ที่ดีที่สุดในโลก โดย ยอดขาย Smart Phone ในไตรมาส 1 ปี 2024 Samsung เบี้ยดแซง apple โดย Samsung : ส่งมอบ 60.1 ล้านเครื่อง Apple : ส่งมอบ 50.1 ล้านเครื่อง

การตลาดของซัมซุง ในปารีสโอลิมปิกเกมส์ 2024

ปารีสโอลิมปิกเกมส์ 2024 ที่ผ่านมา หากเราได้ดูการแข่งขันกีฬา พอถึงเวลาการมอบเหรียญให้แก่ผู้ชนะ เราจะเห็นนักกีฬาต่างหยิบ โทรศัพท์มือถือ ซัมซุงรุ่นพับได้สีทอง Galaxy Z Flip6 มาถ่ายรูปเซลฟี่กันกัน

นั้นเป็นเพราะว่า ซัมซุง เป็นหนึ่งในสปอนเซอร์ของโอลิมปิก โดย Galaxy Z Flip6 มีราคาอยู่ที่ประมาณ 42,900 บาท โดยเค้าแจกโทรศัพท์เครื่องนี้แก่นักกีฬาโอลิมปิกทุกคนกว่า 17,000 คน นั่นหมายความว่าซัมซุงใช้งบประมาณไปราวๆ 700 ล้านบาทเลย แค่เพียงสำหรับการต้อนรับนักกีฬาในปารีสเกมส์ 2024

สำหรับ โทรศัพท์ รุ่นเรือธง Galaxy Z Flip6 รุ่น Paris 2024 Olympics สีทอง ที่ซัมซุงได้แจกให้นักกีฬาทุกคน นอกจากจะเป็นmarketing ที่ชาญฉลาดแล้ว ยังได้มีการโชว์เทคโนโลยีล้ำๆที่ตอบโจทย์นักกีฬาโอลิมปิกที่มาจากหลายชาติ เช่น

1. การแปลภาษาแบบ Live : สามารถแบบเรียลไทม์ 16 ภาษา

2. เป็นล่ามแปลภาษาได้: สามารถแปลการสนทนาแบบสดๆ ได้ทันที ช่วยให้นักกีฬาสามารถสนทนากับนักกีฬาและอาสาสมัครคนอื่นๆ และสามารถใช้โทรศัพท์แปลสิ่งที่อีกฝ่ายพูดกลับมาได้ด้วย

3. ช่วยแนะนำและร่างอีเมลและโพสต์บนโซเชียลมีเดีย

4. ช่วยให้นักกีฬาสามารถบันทึก แบ่งปัน และวิเคราะห์การแสดงของตนเองโดยมือถือสามารถดึงวิดิโอและวิเคราะห์ในแบบสโลว์โมชั่นได้ ทำให้ง่ายต่อการดูและวิเคราะห์แบบละเอียด

5. โหมดแต่งภาพ ที่สามารถลบสิ่งที่อยู่ในภาพที่เราไม่ต้องการออกไปได้ รวมถึงการปรับเปลี่ยนมุมการถ่ายภาพก็ทำได้