การเงิน

Tesla รายได้ต่ำสุดในรอบ 12 ปี ไตรมาสแรกปีนี้ ลดลง 9% หรือเพราะ EV ไม่ใช่อนาคต?

24 เม.ย. 67
Tesla รายได้ต่ำสุดในรอบ 12 ปี ไตรมาสแรกปีนี้ ลดลง 9% หรือเพราะ EV ไม่ใช่อนาคต?

จากที่เคยเป็นตัวแทนของอนาคตอุตสาหกรรมยานยนต์ แต่ตอนนี้ผลงานล่าสุดอาจทำให้ Tesla ต้องกลับมาตั้งคำถามนี้อีกครั้ง หลังจากที่ได้ประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 1/2024 อย่างเป็นทางการ ด้วยรายได้ทั้งหมดลดลง 9% ลดลงสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2012 และรายได้สุทธิร่วง 55% มันเกิดอะไรขึ้น?

ถ้าย้อนไปดูตั้งแต่ต้นปีจะพบว่า Tesla เป็นข่าวอย่างต่อเนื่อง แต่กลับเป็นไปในทางที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ ตั้งแต่ยอดส่งมอบไม่ถึงเป้า แรงกดดันด้านเทคโนโลยีและรถยนต์ การลดราคาครั้งใหญ่เพื่อสู้กับตลาดจีนและรักษาส่วนแบ่งตลาด ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าที่ลดลงถึงขั้นปลดพนักงานทั่วโลกมากกว่า 10% และล่าสุด เรียกคืน Cybertruck เนื่องจากแป้นคันเร่งอาจหลุดและไปติดกับส่วนตกแต่งภายในของรถ

สิ่งที่น่าสนใจคือ ในรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 1/2024 เผยว่า ช่วงสามเดือนแรกของปีนี้ Tesla ได้ประสบกับความท้าทายมหาศาล ตั้งแต่ความขัดแย้งในทะเลแดง การถูกลอบวางเพลิงใน Gigafactory Berlin การผลิตที่ลดลงใน Gigafactory Shanghai จากเทศกาลตรุษจีน ไปจนถึงการปรับปรุงสายการผลิต Model 3 ที่โรงงานฟรีมอนต์

นอกจากนี้ ยังพูดถึงอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับผลกระทบเช่นกัน เนื่องจากผู้ผลิตรถยนต์หลายรายหันไปให้ความสำคัญกับรถยนต์ไฮบริดมากขึ้น หลังจากที่ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกซบเซา แต่บริษัทจะยังคงสนับสนุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายและภารกิจของ Tesla โดยจะเพิ่มการรับรู้ และขยายโปรแกรมไฟแนนซ์รถยนต์อย่างเช่น เงื่อนไขการเช่าที่น่าสนใจสำหรับลูกค้า Tesla

และถึงแม้หลายบริษัทจะเริ่มถอยหลังให้กับการลงทุนต่างๆ แต่สำหรับ Tesla จะยังคงเดินหน้าลงทุนเพื่อการเติบโตในอนาคต ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน AI กำลังการผลิต Supercharger และเครือข่ายบริการ และโครงสร้างพื้นฐานผลิตภัณฑ์ใหม่

สรุปผลประกอบการไตรมาส 1/2567 

สำหรับรายงานผลประกอบการสำคัญทางด้านการเงินของ Tesla ในไตรมาสที่ 1/2024 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 4/2023 มีดังนี้:

- รายได้ทั้งหมดอยู่ที่ 21,301 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลง 9% จาก 25,167 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

- รายได้สุทธิอยู่ที่ 1,129 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ร่วงลง 55% จาก 7,928 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

- กำไรขั้นต้นอยู่ที่ 3,696 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลง 18% จาก 4,438 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

- รายได้จากการดำเนินงานเหลือเพียง 1,171 ดอลลาร์สหรัฐฯ ลดฮวบมากถึง 56% จาก 2,064 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

- กำไรต่อหุ้น อยู่ที่ 0.45 ดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลง 47% จาก 0.71 ดอลลาร์สหรัฐฯ

- เงินสด รายการเทียบเท่าเงินสด และการลงทุนอยู่ที่ 26,863 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 20% จาก 29,094 ล้านดอลาร์สหรัฐฯ

ส่วนรายงานผลประกอบการสำคัญทางด้านการดำเนินงานในไตรมาสที่ 1/2024 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 4/2023 มีดังนี้:

- ยอดการผลิตทั้งหมดอยู่ที่ 433,371 คัน ลดลง 2% จาก 494,989 คัน

- ยอดการผลิตของ Model 3 และ Y รวมกันที่ 412,376 คัน ลดลง 2% จาก 476,777 คัน

- ยอดการผลิตโมเดลอื่นรวมกันที่ 20,995 คัน ลดลง 8% จาก 18,212 คัน

- ยอดการส่งมอบทั้งหมดอยู่ที่ 386,810 คัน ลดลง 9% จาก 484,507 คัน

- ยอดการส่งมอบของ Model 3 และ Y รวมกันที่ 369,783 คัน ลดลง 10% จาก 461,538 คัน

- ยอดการส่งมอบโมเดลอื่นรวมกันที่ 17,027 คัน ลดลงสูงถึง 59% จาก 22,969 คัน

- จำนวนสถานี Supercharger อยู่ที่ 6,249 สถานี เพิ่มขึ้น 26% จาก 5,952 สถานี

ด้านอีลอน มัสก์ประกาศว่า บริษัทวางแผนที่จะเริ่มผลิตโมเดลใหม่ภายในต้นปีหรือปลายปี 2025 ที่ราคาถูกกว่า และสามารผลิตได้ในสายการผลิตเดียวกับโมเดลปัจจุบันของ Tesla โดยตั้งเป้าที่จะใช้กำลังการผลิตปัจจุบันอย่างเต็มที่ และบรรลุการเติบโตมากกว่า 50% จากการผลิตในปี 2023 ก่อนที่จะลงทุนในสายการผลิตใหม่

นอกจากนี้เปิดเผยว่ากำลังเจรจากับผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่รายหนึ่งเพื่อ license its driver assistance system ที่วางตลาดในสหรัฐอเมริกาในตัวเลือกรถยนต์ไร้คนขับ หรือ Full Self-Driving (FSD) ในขณะที่พูดถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI และ robotaxi ของ Tesla

ไม่ใช่ Tesla เท่านั้น แต่ค่ายรถยนต์รายอื่นกำลังประสบกับปัญหายอดขายรถยนต์ไฟฟ้าซบเซาเช่นกัน อย่าง General Motors และ Ford ลดกำลังการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าลง เนื่องจากความต้องการซื้อที่น้อยกว่าคาดการณ์ไว้ ซึ่งภาพรวมยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั้งอุตสาหกรรมยังคงเติบโตอยู่ แต่ไม่รวดเร็วเท่าที่คาดไว้ 

ที่มา Tesla Shareholder Deck, CNBC

 

advertisement

SPOTLIGHT