ผลสำรวจเผย สาเหตุหลักของความเครียดในองค์กร คือ ภาระงานหนัก 43%
บริษัทที่มีความเครียดสูง ส่งผลต่อการตัดสินใจลาออกของพนักงานสูงถึง 33%
ข้อมูลสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่าจำนวนผู้ป่วยด้านสุขภาพจิตในประเทศไทยมีจํานวนมากขึ้นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยในปี 2566 ประเทศไทยมีผู้ป่วยด้านสุขภาพจิต จำนวน 4.4 ล้านคน คิดเป็น 6.44% ของประชากรไทยทั้งหมด เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าจาก 2.5 ล้านคนในปี 2565 โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะซึมเศร้า จํานวนผู้ป่วยสะสมเพิ่มขึ้นจาก 1,156,734 คน ในปี 2564 เป็น 1,240,729 คน
ขณะที่ข้อมูลจาก Mental Health Check-in ของกรมสุขภาพจิต จากผู้ตอบแบบประเมิน 5.28 ล้านคน พบว่า สถานการณ์สุขภาพจิตคนไทยทุกช่วงอายุ ในระหว่างปี 2563-2567 มีความเครียดสูง 7.87% มีภาวะเสี่ยงซึมเศร้า 9.25% และเสี่ยงฆ่าตัวตาย 5.26% ดังนั้น เรื่องการดูแลสุขภาพจิตของพนักงานจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับองค์กร เพราะพนักงานเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยหนุนการเติบโตของธุรกิจ ในภาวะการแข่งขันที่ทวีรุนแรงมากยิ่งขึ้น
คุณดวงพร พรหมอ่อน กรรมการผู้จัดการ Jobsdb by SEEK เปิดเผย ผลรายงานการจ้างงานผลตอบแทนและสวัสดิการปี 2567” ในเรื่องสุขภาพจิตในสถานที่ทํางาน รวมถึงความท้าทายที่องค์กร และพนักงานต้องเผชิญจากปัจจัยด้านสุขภาพจิตดังกล่าว ที่จัดทำโดย Jobsdb by SEEK โดยรวบรวมข้อมูลจาก 685 บริษัทในหลากหลายอุตสาหกรรมและตําแหน่งงานในประเทศไทย จากรายงาน พบว่า สถานประกอบการ 69% ให้คะแนนองค์กรของตนว่าเป็นสถานที่ทำงานที่มีความเครียดในระดับปานกลาง (ระหว่าง 3 ถึง 7) โดยระดับความเครียดเฉลี่ยอยู่ที่ 4.9 ระดับความเครียดสูงสุดคือระดับ 5 หรือ คิดเป็น 26% แสดงให้เห็นว่าที่ทำงานส่วนใหญ่มีระดับความเครียดประมาณค่าเฉลี่ย อย่างไรก็ตาม 14% ของบริษัทอยู่ในกลุ่มที่มีความเครียดระดับสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริษัทในธุรกิจบริการ
สาเหตุหลักของความเครียดในองค์กร คือ ภาระงานหนัก (43%) ตามมาด้วยทรัพยากรไม่เพียงพอ (26%) และความกดดันสูงจากฝ่ายบริหารหรือการทำงาน ที่รวดเร็ว (24%) อีกทั้งสาเหตุเหล่านี้ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในกลุ่มบริษัทที่อยู่ในช่วงความเครียดสูงซึ่งก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ เช่น การลาออกสูง (33%) อคติหรือการเลือกปฏิบัติ (31%) ขาดการชื่นชมและยอมรับในผลงาน (26%) ค่าตอบแทนต่ำ (27%) และลำดับชั้นที่มากเกินไป (27%)
อย่างไรก็ดี ผลสำรวจแนวโน้มในอนาคตของสวัสดิการด้านความสมดุลของชีวิตและการงาน ชี้ให้เห็นว่า มีองค์กรถึง 43% เริ่มหันมาให้ความสำคัญเกี่ยวกับสภาพจิตใจของพนักงานมากขึ้น โดยริเริ่มกิจกรรมต่าง ๆ วันหยุดเพื่อสุขภาพจิต และ การให้คำปรึกษาด้านการดูแลสุขภาพ สายด่วน/การสื่อสาร/การให้คำปรึกษาเพื่อสนับสนุนพนักงานที่มีความเครียด หลายบริษัทจัดการพูดคุยเกี่ยวกับสุขภาพจิตหรือการดูแลสุขภาพบ่อยขึ้น โดยเฉลี่ย 4.6 ครั้งต่อปี แสดงให้เห็นว่าสวัสดิการที่มากขึ้นเกี่ยวกับสุขภาพจิตกลายเป็นเรื่องปกติ
มีสวัสดิการอีกหลากหลายรูปแบบที่มีความน่าสนใจ ที่ไม่ใช่เพียงแค่การดูแลด้านสุขภาพจิตของพนักงานเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างสมดุลให้กับชีวิตของพนักงาน เพื่อให้พนักงานเกิดความผ่อนคลายจากการทำงานมากยิ่งขึ้น อาทิ กิจกรรมขององค์กร (ท่องเที่ยว, วิชาเรียนที่น่าสนใจ), เวลาทำงานที่ยืดหยุ่น, การจัดหาอาหารว่าง/ เครื่องดื่ม/ ผลไม้ให้พนักงานได้รับประทานระหว่างวัน, การลาก่อนช่วงเทศกาล, วันทำงานที่ยืดหยุ่น หรือความบันเทิง/กิจกรรมออกกำลังกายที่สำนักงาน เช่น จ้างเทรนเนอร์มาที่สำนักงานในชั่วโมงออกกำลังกาย เป็นต้น
ทั้งนี้ หากผู้ประกอบการมีศึกษาสวัสดิการเพิ่มเติมเหล่านี้เพื่อนำมาปรับใช้กับบุคลากร นอกจากจะเป็นการช่วยให้พนักงานมีความสุข และมีสมดุลในการทำงานมากขึ้นแล้ว ยังถือเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างองค์กรและบุคลากรอีกด้วย