"บริษัทจดทะเบียน" สายเขียวพร้อมลุยปลูกกัญชาส่งออก ขายผู้ผลิตยารายใหญ่ เอเชีย-ยุโรป หลังกระทรวงสาธารณสุขปลดกัญชาออกจากยาเสพติด ระบุตลาดต่างประเทศมีดีมานด์กัญชาไทยสูงเพราะคุณภาพดี ต้นทุนไม่แพง
นายพงษ์สกร ดำเนิน ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการสายงานธุรกิจพลังงาน บมจ.กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง (GUNKUL) ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าว "SPOTLIGHT" ว่า กรณีล่าสุดที่ล่าสุดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในพิธีลงนามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง "ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภทที่ 5 พ.ศ. 2565 ปลดกัญชาออกจากยาเสพติด" แต่ยกเว้นเพียงสารสกัดของกัญชาที่มีค่า THC เกิน 0.2% เท่านั้นที่ยังถือว่าเป็นสารเสพติดอยู่ซึ่งเป็นการปลดล็อกกัญชาออกจากบัญชียาเสพติดของประเทศไทย เพื่อเปิดทางสู่การเปิดเสรีกัญชาทางการแพทย์อย่างเต็มรูปแบบนั้น
ทั้งนี้เชื่อว่าจะเป็นผลบวกต่อภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องทั้งหมด รวมถึงธุรกิจของบริษัทในปัจจุบันด้วย เนื่องจากประกาศของกระทรวงสาธารณสุข ดังกล่าวนี้เมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้จะทำให้สามารถเพาะปลูกัญชาได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายจากที่ไม่สามารถปลูกหรือครอบครองได้เพราะเดิมกำหนดให้เป็นยาเสพติดให้โทษ
สำหรับบริษัทมีความสนใจอย่างมากและมีแผนเพาะปลูกพืชกัญชาเพื่อส่งออกขายเป็นใช้วัตถุดิบผลิตยารักษาโรค โดยปัจจุบันมีพื้นที่รวมประมาณกว่า 2,000 ไร่ที่เตรียมไว้เพราะปลูกทั้งพืชกัญชงกับกัญชา พร้อมทั้งตั้งงบลงทุนไว้ประมาณ 2,000 ล้านบาท เพื่อเพราะปลูกทั้งกัญชงและกัญชารวมถึงงบลงทุนที่ใช้สร้างโรงงานสกัดซึ่งมีเทคโนโลยีที่สามารถสกัดได้ทั้งสาร CBD (Cannabidiol)จากกัญชง และสาร THC (Tetrahydrocannabinol) จากทั้งกัญชาเพื่อใช้ทางการแพทย์ได้ด้วยทันที หากตลาดมีความต้องการ
โดยบริษัทมีแผนที่ลงทุนสร้างโรงงานเพื่อผลิตสารสกัดจากกัญชงและกัญชาจำนวน 2 แห่งซึ่งมีกำลังผลิตขนาดใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของประเทศ โดยโรงงานแห่งแรกตั้งอยู่ที่บริเวณ คลอง 11 จังหวัดปทุมธานี จะสร้างเสร็จเริ่มผลิตได้ช่วงปลายไตรมาส 1 ปีนี้มีกำลังการผลิตช่อดอกแห้งกัญชงประมาณ 200 กิโลกรัมต่อวัน ส่วนโรงงานแห่งที่สอง ตั้งอยู่ที่ ตำบลห้วยบง อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา มีกำลังการผลิตช่อดอกแห้งกัญชงประมาณ 1,000 กิโลกรัมต่อวัน จะก่อสร้างเสร็จในไตรมาส 1 ปีหน้า
ปัจจุบันได้เริ่มทยอยปลูกกัญชง โดยตั้งเป้าหมายในเฟสแรกภายในสิ้นปีนี้จะปลูกกัญชงให้ได้ประมาณ 100 ไร่ โดยผลผลิตชุดแรกจำนวน 5 ไร่จะเริ่มทยอยออกมาเข้าโรงงานสกัดในช่วงปลายไตรมาส 1 หรือต้นไตรมาส 2 ปีนี้เพื่อผลิตสารสกัด CBD ซึ่งตลาดปัจจุบันมีความต้องการสูงมากเพื่อนำไปไปใช้เป็นส่วนผสมของอาหาร, เครื่องดื่ม และยารักษาโรค
ขณะที่ประกาศกระทรวงสาธารณสุขออกมาที่ปลดพืชกัญชาออกออกจากยาเสพติด ล่าสุดส่งผลให้เริ่มมีลูกค้าบริษัทยาขนาดใหญ่ในต่างประเทศ ทั้งในยุโรปและเอเชียเริ่มมีความสนใจติดต่อมาขอข้อมูลด้านกัญชาที่ปลูกในประเทศไทยในกลุ่มที่ต้องได้การรับรองมาตรฐานทางการแพทย์ (Medical Grade) เนื่องจากปัจจุบันบริษัทมีประสบการณ์การเพาะปลูกกัญชงอยู่แล้ว ดังนั้นจึงสามารถทำการเพราะปลูกกัญชาได้ทันทีเพื่อส่งออกไปในต่างประเทศ ทั้งนี้บริษัทคาดว่ามีโอกาสที่จะได้ข้อสรุปในการเจรจาทางธุรกิจเพื่อปลูกและส่งออกกัญชาให้กับลูกค้าบริษัทผู้ผลิตยาขนาดใหญ่ในต่างประเทศได้ภายในปีนี้
"การปลดกัญชาออกจากยาเสพติด ถือเป็นการปลดล็อคให้ภาคธุรกิจมีโอกาสทำธุรกิจกัญชาสามารถปลูกเพื่อส่งออกไปให้บริษัทยาขนาดใหญ่ซึ่งตอนนี้มีความต้องการสูงมาก โดยเฉพาะกัญชา Medical Grade ที่ปลูกในไทย เพราะถือว่ามีต้นที่ไม่แพงเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ตอนนี้เริ่มมีลูกค้าบริษัทยารายใหญ่จากต่างประเทศเริ่มทยอยเข้ามาเจรจากับบริษัทแล้ว นอกจากนี้การปลดกัญชาออกจากยาเสพติดยังส่งผลบวกต่อธุรกิจปลูกกัญชงให้โตเร็วขึ้นด้วยเพราะช่วยลดขั้นตอนการตรวจสาร THC ลงทำให้ใช้เวลาลดลงไป 1 เดือนเพราะเดิมกัญชงที่ปลูกก่อนขายต้องผ่านการตรวจรับจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ทำให้ขายกัญชงออกได้เร็วขึ้น"
นายสุรนาถ กิตติรัตนเดช ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชีและการเงิน บมจ. อาร์แอนด์บีฟู้ด ซัพพลาย (RBF) กล่าวกับ "SPOTLIGHT" ว่า บริษัทกำลังเตรียมพร้อมศึกษาปลูกกัญชาเพื่อส่งออก รวมการสกัดสาร TSC จากกัญชาเพื่อใช้ในการทางแพทย์ เพราะเป็นการเปิดโอกาสการทำธุรกิจเพิ่ม แม้ว่าตอนนี้ยังไม่ได้ปลดล็อคให้ใช้กัญชากับกลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มที่บริษัทเชี่ยวชาญ
โดยเฉพาะในต่างประเทศที่กำลังมีความต้องการนำกัญชาไปใช้ผลิตผลิตยารักษาโรค จึงเป็นโอกาสเติบโต โดยตอนนี้บริษัทมีพื้นที่เพาะปลูกรวม 300 ไร่ และมีโรงงานสกัดสาร CBD จากกัญชงพร้อมอยู่แล้วซึ่งกัญชงที่ปลูกจะเริ่มทยอยมีผลผลิตออกมาในช่วงไตรมาส 1 ปีนี้ โดยหากมีการศึกษาแล้วมีดีมานด์กัญชาที่ดี บริษัทก็พร้อมลงทุนเพราะเรามีพื้นที่เพาะปลูก และโรงงานสกัดพร้อมอยู่แล้ว แต่ขอใช้เวลาศึกษาประเมินดีมานด์ที่จะเข้ามาก่อน