“โอ้กะจู๋” ชื่อร้านอาหารแนวสุขภาพที่เริ่มก่อตัวเป็นคาเฟ่เล็กๆขึ้นราวปี 2556 ในคอนเซ็ปท์ From farm to table แต่ก่อนหน้านั้นผู้ร่วมก่อตั้ง 3 คนสำคัญคือ โจ้ –จิรายุทธ ภูวพูนผล , อู๋ -ชลากร เอกชัยพัฒนกุล , ต้อง - วรเดช สุชัยบุญศิริ ก็เริ่มต้นสนใจในการปลูกผักแบบเกษตรอินทรีย์มาก่อนแล้ว จากแนวคิด From farm to table พัฒนามาเป็นร้าน โอ้กะจู๋ อยู่จนถึงปัจจุบัน โดยชื่อร้านผันมาจากชื่อผู้ก่อตั้ง ทั้ง โจ้ และ อู๋ นั่นเอง ยุคแรกของการเปิดตัวชื่อร้าน โอ้กะจู๋ ก็สร้างความแปลกใหม่ สีสันและดึงดูดความน่าสนใจได้อย่างมาก
ย้อนไปที่พื้นเพของคุณโจ้ที่เรียนจบคณะเกษตร มหาวิยาลัยเชียงใหม่ ใจรักและมีความฝันในเรื่องการทำเกษตร เช่นเดียวกับคุณอู๋ ส่วนคุณ ต้อง ซึ่งจบการศึกษา คณะวิศวกรรมศาสตร์มีความรู้ทางด้านเครื่องจักรต่างๆ และวิธีการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ ทั้ง 3 คนรวมตัวกันด้วยอุดมการณ์เดียวกันคือต้องการปลูกผักแบบเกษตรอินทรีย์ วิธีธรรมชาติ โดยการออกแบบ และจัดการฟาร์มโดยที่ไม่พึ่งพาสารเคมีใดๆ คำนึงถึง ผืนดิน ผลิตผล ระบบนิเวศ ครอบครัว และชุมชน
จากโรงเรือนปลูกผักเล็กๆในเชียงใหม่ พื้นที่ 6 x 30 เมตร ปลูกผักสวนครัว และผักสลัด กินเองในครอบครัว ในชุมชน ทั้ง 3 คนก็ค่อยๆพัฒนาทั้งระบบการปลูกที่ขยายมากขึ้นจนปัจจุบันมีพื้นที่ปลูกผักของโอ้กะจู๋มีมากกว่า 70 ไร่แล้ว ภายใต้แหล่งปลูก 3 จุด คือ “สวนผักแห่งศรัทธา” มีพื้นที่ขนาด 12 ไร่ “สวนปลูกผักเพราะรักแม่” ที่มีพื้นที่ขนาด 8 ไร่ และสวนที่ 3 “สวนปลูกผักเพราะรักพ่อ” พื้นที่ขนาด 50 ไร่ และได้มีการจดทะเบียนจัดตั้ง บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด ตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมา
ยอดขายและกำไรเติบโตต่อเนื่อง
ในช่วงระยะเวลาไม่ถึง10 ปี ร้านโอ้กะจู๋ มีอัตราการเติบโตขึ้นอย่างมาก ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า รายงานผลประกอบการของ บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด พบว่า
พ.ศ.2560 รายได้ 84.30 ล้านบาท กำไร 1.8 ล้านบาท
พ.ศ.2561 รายได้ 181.54 ล้านบาท กำไร 11.78 ล้านบาท
พ.ศ. 2562 รายได้ 643.04 ล้านบาท กำไร 79.83 ล้านบาท
พ.ศ. 2563 รายได้ 836.80 ล้านบาท กำไร 33.08 ล้านบาท
พ.ศ. 2564 รายได้ 803.01 ล้านบาท ขาดทุน 83.37 ล้านบาท
จะเห็นได้ว่าอัตราการเติบโตของ ‘โอ้กะจู๋’ ในแต่ละปีสูงเป็นหลักหลายร้อย% โดยเฉพาะในปี 2561 / 2562 ก่อนสถานการณ์โควิด ซึ่งการเติบโตที่ดังกล่าวสร้างความน่าสนใจ เข้าตาบริษัทขนาดใหญ่อย่าง บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด มหาชน หรือ OR ที่ได้เข้ามาลงทุนถือหุ้นโอ้กะจู๋ 20% มูลค่าไม่เกิน 500 ล้านบาท ตั้บแต่ปี 2564 เป็นต้นมา
คุณอู๋ ชลากร เอกชัยพัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด บอกว่าบริษัทมีแผนเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อนำเงินจากการะดมทุนไปใช้ใน 3 ส่วน คือ การขยายสาขาแบรนด์ "โอ้กะจู๋" ขยายแบรนด์ร้านอาหารใหม่ๆ , พัฒนาแฟลตฟอร์มรองรับการขาย, ขยายฟาร์ม และใช้คืนหนี้สินบางส่วน
ปัจจุบัน ปลูกผักเพราะรักแม่ มีทุนจดทะเบียนราว 225 ล้านบาท โดยจะมีการเพิ่มทุนจดทะเบียนอีก 80 ล้านบาท เพื่อให้เป็นไปตามเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯต่อไป
จะเห็นได้ว่าแผนงานของบริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ ต้องการขยายมากกว่าร้านโอ้กะจู๋แล่้ว ทำให้บริษัทวางเป้าหมายรายได้ในปี 2567 เติบโตแตะ 2,000 ล้านบาท จากปีนี้คาดว่าจะทำรายได้ 1,200 ล้านบาท เป็นไปตามการขยายสาขาที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ปัจจุบัน โอ้กะจู๋ มี 62 สาขา แบ่งเป็๋นสาขาหลัก 18 สาขา / สาขาในปั้ม PTT 44 สาขา ส่วนแผนในปี 2566 จะขยายสาขาหลักอีก 6 สาขา เน้นไปที่ภาคตะวันออกและกรุงเทพฯ และในปี 2567 คาดจะเพิ่มอีก 6 สาขา ส่วนการขยายสาขาผ่านปั๊มน้ำมัน ปตท.ในปีหน้าคาดว่าจะเพิ่มอีก 80 สาขา จากปีนี้มีอยู่ 44 สาขา
จากความฝันเล็ก ๆ มาสู่ความจริงที่ยิ่งใหญ่ของโอ้กะจู๋ในช่วงระยะเวลา 10 ปี น่าจะเป็นเส้นทางที่เต็มไปด้วยเรื่องราวประสบการณ์ในการทำธุรกิจมากมายที่น่าสนใจ จากนี้ต่อไปคงจะต้องจับตาดูกันต่อไปว่า ปลูกผักเพราะรักแม่ จะขยายโอ้กะจู๋ และเพิ่มแบรนด์ร้านอาหารใหม่ๆอะไรออกมาสู่ผู้บริโภคอีกบ้าง