เมื่อภาพเศรษฐกิจในปี 2024 เปลี่ยนทิศ โดยเศรษฐกิจโลกยังเดินหน้าเติบโตต่อ แต่ในอัตราที่ชะลอตัวลง เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ก่อนหน้านี้หลายฝ่ายประเมินว่าจะเข้าสู่ Recession หรือภาวะถดถอยนั้น สหรัฐฯ สามารถจัดการและแนวโน้มจะเป็นการเติบโตแบบช้าๆ หรือ Soft Landing นั่นเอง ขณะที่เศรษฐกิจยุโรปยังมีการขยายตัวแม้จะอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่เศรษฐกิจจีนยังมีความท้าทายอยู่ ปีหน้าควรปรับพอร์ตการลงทุนอย่างไร? หลังดอกเบี้ยผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว
วันนี้ SPOTLIGHT ได้มีโอกาส Group Interview KBank Private Banking และ Lombard Odier ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจและการลงทุน จะมาเล่าถึงทิศทางเศรษฐกิจโลก
Lombard ประเมินเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะ Soft Landing
นายโฮมิน ลี Senior Asia Macro Strategist, Lombard Odier (Singapore) ชี้ว่า เศรษฐกิจโลกยังเติบโตต่อได้ แต่ในอัตราที่ชะลอตัว และเศรษฐกิจสหรัฐคาดว่าจะเติบโตแบบ Soft Landing มากกว่าจะเกิด Hard Landing อัตราเงินเฟ้อปรับลง ภาพแรงงานไม่ใช่ปัญหา
ขณะที่เศรษฐกิจยุโรปมองว่า ยังขยายตัวในอัตราที่ต่ำ ขณะที่เศรษฐกิจจีนยังมีความท้าทายหลายอย่าง ซึ่งทางการจีนคงต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อเรียกความเชื่อมั่นของผู้บริโภค นักลงทุน และภาคธุรกิจกลับมาให้เป็นปกติ
Lombard ชี้เฟดลดดอกเบี้ยเหลือ 3.5% ภายในปี 2024-2025
ประเมินว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยุติการปรับขึ้นดอกเบี้ย เงินเฟ้อชะลอตัว โดยคาดว่าเฟดจะเริ่มปรับลดดอกเบี้ยในเดือนมี.ค. 2024 ถัดมาเป็นมิ.ย. , ก.ย. และ ธ.ค.โดยในปีนี้คาดปรับลด 4 ครั้ง ครั้งละ 0.25% และปี 2024 ปรับลดอีก 4 ครั้ง อัตราดอกเบี้ยจะอยู่ที่ 3.50% ขณะที่ ECB ก็จะปรับลดดอกเบี้ยในปี 2024-2025 เช่นกัน แต่จะปรับลดมากกว่า 1.5% ต่อปี
Lombard จับตาเลือกตั้งสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม ตลาดยังจับตาเรื่องการเลือกตั้งในสหรัฐ ที่มีโอกาสที่นายโดนัลด์ ทรัมป์จะกลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง หลังจากผลโพลล์ล่าสุดที่นายทรัมป์ นำนายโจ ไบเดนประธานาธิบดีสหรัฐคนปัจจุบัน รวมถึง จับตาความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐ การทำสงครามการค้า และความขัดแย้งในตะวันออกกลางอีกด้วย
KBank Private Banking เล็งลดพอร์ตหุ้นจีน
สำหรับตลาดหุ้นจีนที่ปรับตัวลงต่อเนื่องมา 3 ปีแล้วและยังไม่เห็นท่าทีจะฟื้นตัวได้ชัด ดังนั้น KBank Private Banking อยู่ระหว่างพิจารณาปรับพอร์ตลดน้ำหนักการลงทุนหุ้นจีน โดยกำลังมองหาการลงทุนตลาดอื่นที่จะสามารถมาทดแทนหรือชดเชยการขาดทุนจากตลาดหุ้นจีน
โดยปัจจุบันมีสัดส่วนหุ้นจีน อยู่ที่ 3% ของพอร์ต โดยตลาดหุ้นจีนปรับตัวลงต่อเนื่อง 3 ปีติดต่อกัน ปกติตลาดจีนจะขึ้น 1 ปี ลง 1 ปี จึงคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจีนที่ติดหล่มหลายเรื่อง รัฐบาลอาจกระตุ้นไม่เพียงพอ
นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Executive Chairman, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย ได้ให้สัมภาษณ์ว่า แม้ KBank Private Banking จะเชื่อมั่นในตลาดจีนอยู่นั้น แต่ก็ไม่สามารถคาดเดาว่าตลาดหุ้นจีนจะฟื้นตัวได้เมื่อไหร่ และไม่รู้ว่าความเชื่อมั่นในตลาดจีนจะกลับมาเมื่อไหร่ เงินทุนไหลออกจากตลาดจีนเพิ่มขึ้น ดังนั้นจึงจะ Switching แต่ต้องพิจารณาตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวมาประกอบการพิจารณา โดยจะมีการหารือกันภายใน 2 สัปดาห์นี้
" ลูกค้าเราชอบจีน และมีอยู่ในพอร์ตเยอะ แต่ ณ เวลานี้ คงต้องไม่ดื้อถือต่อ เพราะถือต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ ควรไปหาที่ว่างแทนแทนดีกว่า และอยากให้ปรับวิธีคิด Mind Set ทุกอย่างทำลายสถิติ ตอนนี้เจ็บหนัก ขาดทุน 30-50%” นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Executive Chairman, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย ชี้
อย่างไรก็ตาม ตลาดจีนเป็นเรื่องของ Senitment และความเชื่อมั่น ที่หนักกว่าปัจจัยพื้นฐาน หุ้นจีน ถูกที่สุดในประวัติศาสตร์ และประเทศจีน เป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ของโลก โจทย์ใหญ่ของรัฐบาลจีนต้องให้เศรษฐกิจมีเสถียรภาพ อีกทั้งปัญหาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ที่แม้ว่าจะมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจก็ยังมองว่าไม่หนักพอ
KBank Private Banking แนะพอร์ตงทุนให้น้ำหนักตราสารหนี้
ทั้งนี้ การหยุดขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางในหลายประเทศ ทำให้ตราสารหนี้ จะเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจในปี 2024 ท่ามกลางความผันผวนเริ่มลดลง โมเมมตัมเป็นไปในทิศทางบวก แต่เศรษฐกิจโลกยังมีความเสี่ยงเรื่องปัจจัยความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ยังมีต่อเนื่องการเกิดสงคราม รวมถึง สงครามทางการค้าจีนกับสหรัฐ ที่จะกดดันให้เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวยาก รวมไปถึงกระแสความยั่งยืน (Sustainability) ที่มีเข้ามามากขึ้น
โดยประเมินว่า เงินลงทุนจะไหลเข้าตลาดตราสารหนี้มากขึ้น เพราะอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงและจะลดลงในปี 2024 นี้ เพราะมองว่าผลตอบแทนในตลาดหุ้นมีความท้าทาย เพราะตอบแทนเทียบกับอัตราดอกเบี้ยไม่น่าจะดึงดูดเท่ายุคดอกเบี้ยต่ำ การหาผลตอบแทนต้องเน้นไปที่การคัดเลือกหุ้นที่โดดเด่น
“ การจับจังหวะของการลงทุนทำได้ยากขึ้น เพราะวัฎจักรเศรษฐกิจของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป เศรษฐกิจดีเป็นระยะเวลาที่สั้นลง จากเดิม 5 ปี และเศรษฐกิจเติบโตต่ำเพียงแค่ 2 ปี ก็ทำให้การดังนั้น การลงทุนที่มีกลไกปรับสมดุลการลงทุนให้เหมาะกับทุกตลาด รวมทั้งการลงทุนจะพิจารณาการลงทุนทั้งภูมิภาคคงไม่ได้แล้ว” นายจิรวัฒน์ชี้
อัตราผลตอบแทนของตลาดหุ้นโลกในปี 2023 ปรับสูงขึ้นประมาณ 22.81% (YTD) โดยตลาดหุ้นญี่ปุ่น (Nikkei225) มีผลตอบแทน +31% ตลาดหุ้นสหรัฐ (S&P500) ปรับขึ้น +26% ส่วนตลาดหุ้นเอเชีย ( Ex Japan) ผลตอบแทนไม่ค่อยดี +6% โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีน (CSI300) ปรับลง -9% และ ตลาดหุ้นจีน รวมฮ่องกง (HSCEI) -11% ส่วนตลาดหุ้นไทย (SET) -13%
เปิดกลยุทธ์การลงทุนปี 2024
นางสาวศิริพร สุวรรณการ Senior Managing Director, Financial Advisory Head, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย กล่าวให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า พอร์ตลงทุนแบ่งเงินลงทุนเป็น 2 ส่วน ได้แก่
ส่วนแรก ประมาณ 50-70% ลงทุนในพอร์ตหลัก (Core Portfolio) ที่จะให้ลงทุนกองทุนผสม ที่มีกลไกปรับสมดุลได้มากกว่า เพราะเน้นการลงทุนทุกเวลา มีทั้งการลงทุนในตราสารหนี้ ตลาดหุ้น โภคภัณฑ์ รวมทั้งค่าความผันผวน (VIX Index) ด้วยกลยุทธ์หลักที่บริหารเชิงรุกและยืดหยุ่นสูง ตามวัฎจักรเศรษฐกิจและดัชนีตลาดที่สำคัญ เหมาะกับการจัดการการลงทุนในทุกสภาวะตลาด แนะนำกองทุน All Roads Series
ส่วนที่สอง ประมาณ 30-50% เป็นพอร์ตเสริม (Satellite Portfolio) แบ่งเป็น ตราสารหนี้ (Income) เช่น
- พันธบัตรรัฐบาลระยะยาว จากอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันที่อยู่ระดับสูงทำให้ผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ยมีความน่าสนใจและยังมีโอกาสได้กำไรจากส่วนต่างราคาเมื่อเฟดปรับลดดอกเบี้ย และยังเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยและช่วยกระจายความเสี่ยงได้ดี แนะกองทุน K-GDBOND, TUSBOND
- หุ้นกู้ที่มีอันดับเครดิตดี ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เน้นลงทุนหุ้นกู้ระดับ Investment Grade รวมถึงตราสารหนี้ประเภท CoCo Bond ที่ออกโดยสถาบันการเงินที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่งและให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจ ส่วนหุ้นกู้กลุ่ม High Yield อาจมีความเสี่ยงจากเศรษฐกิจชะลอตัวและด้านสภาพคล่องหลังต้นทุนดอกเบี้ยสูงขึ้น แนะนำกองทุน UPINCM-N
แนะนำลงทุนหุ้นกลุ่ม Growth ทั่วโลก
ส่วนหุ้นแนะลงทุนหุ้นกลุ่ม Growth ทั่วโลก จะเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากวัฎจักรดอกเบี้ยขาขึ้นผ่านจุดสูงสุด โดยแนะให้กระจายลงทุนทั่วโลก ซึ่งหุ้นเทคฯ ในสหรัฐขึ้นมาค่อนข้างมากในปี 2023
ทั้งนี้ แนะกองทุน K-CHANGE และตลาดหุ้นเกิดใหม่ (Emerging Market) ที่ได้รับประโยชน์จากเงินดอลลาร์อ่อนค่า เงินทุนไหลเข้าหลังเฟดลดดอกเบี้ย ชูตลาดอินเดีย และตลาดเวียดนาม ที่มีแนวโน้มผลประกอบการเติบโตมากว่า 20% แต่ตลาดอินเดียราคาแพงแล้วอาจรอจังหวะย่อตัวก่อน แนะกองทุน PRINCIPAL VNEQ และ K-INDIA นอกจากนี้ ตลาดเวียดนามและอินเดียเป็นประเทศที่มีการตั้งฐานการผลิตกลุ่มเทคโนโลยี
ส่วนลงทุนทางเลือกอื่น เช่น
- กลยุทธ์เฮดจ์ฟันด์ เช่น กลยุทธ์มหภาค และเทรดตามแนวโน้ม (Trend following) ช่วยสร้างผลตอบแทนและกระจายความเสี่ยงจากความสามารถในการใช้หลากหลาย indicators รวมทั้ง Long/Short ในสินทรัพย์หลัก ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ แนะนำ กองทุน ASP-LEGACY-UI และ LHMCMULTIUI
- กลยุทธ์ซื้อขายสกุลเงินหลักของโลก โดยคาดว่าจะแข็งค่าขึ้น จากปัจจัยพื้นฐาน เช่น ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย แนวโน้มเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ ดุลการชำระเงิน รวมทั้งกระแสเงินไหลเข้า-ออก แนะนำกองทุน DAOL-FXALPHA-UI
โดยสรุปแล้ว นักลงทุนที่ต้องการลงทุนในปีมังกรทอง 2024 นี้ คงต้องหันมาลงทุนในตลาดตราสารหนี้เป็นหลัก ในยามที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในทิศทางขาลง ส่วนตลาดหุ้นนั้น แนะนำให้ลงทุนกลุ่ม Growth ทั่วโลก หรือกองทุนที่ลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ เพื่อจะเป็นการสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนได้ดี