เมื่อใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแล้ว แน่นอนว่า ถ้าเราเลือกได้ก็คงอยากอยู่ในเมืองที่ทำให้การใช้ชีวิตของเราง่าย ปลอดภัย และตอบสนองความต้องการได้ในทุกด้านไม่ว่าเราจะมีฐานะและรายได้ในระดับใด แต่การทำให้เมืองตอบสนองความต้องการของมนุษย์อาจไม่เพียงพออีกต่อไปแล้ว เพราะถ้าหากเน้นเพียงการพัฒนาเพื่อวัตถุและผลกำไรเพียงอย่างเดียวก็จะส่งผลกระทบต่อด้านอื่นๆ ทั้งด้านสังคม และสิ่งแวดล้อม
ดังนั้น เมืองสมัยใหม่ต้องถูกพัฒนาไปอย่าง “ยั่งยืน” ในรูปแบบที่ตอบสนองการพัฒนา ทั้งสามด้าน คือ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งแน่นอนว่าเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำได้ด้วยคนเดียว แต่ต้องใช้ความร่วมมือจากคนทุกภาคส่วน ทั้ง ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาคประชาชน
และวิธีในการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืนนี้เองก็คือสิ่งที่ตัวแทนทั้ง 4 คน จากทั้ง 4 ภาคส่วนได้มาร่วมหาคำตอบกันในการเสวนาหัวข้อ “The Future of Sustainable and Smart City Living for Better Community” ซึ่งถูกจัดขึ้นในงาน “Sustainability Expo” เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
แต่ละภาคส่วนจะสามารถทำงานร่วมกันเพื่อสร้างเมืองยั่งยืนที่น่าอยู่สำหรับทุกคนได้อย่างไรบ้าง ทีม SPOTLIGHT สรุปมาให้อ่านกัน
คุณ Renaud Meyer ตัวแทนของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme: UNDP) ประจำประเทศไทย กล่าวว่า ภาคประชาสังคมหรือองค์กรระดับนานาชาติมีหน้าที่สร้างกรอบความร่วมมือ แนวทางโดยกว้าง และสร้างความรู้ความเข้าใจกับทุกภาคส่วนในประเทศต่างๆ เพื่อให้วิธีการพัฒนาอย่างยั่งยืนเป็นไปอย่างมีเป้าหมาย และมีความครอบคลุมเป็นประโยชน์ของคนระดับ
ดังนั้น UNDP ในฐานะองค์กรเพื่อการพัฒนาขององค์การสหประชาชาติ (UN) ซึ่งเป็นองค์กรที่ได้รวบรวมความเห็น ความต้องการ ของประชาชนทั่วโลกเพื่อพัฒนาเป้าหมายการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน (SDGs) ขึ้นมาได้สำเร็จแล้วจึงมีหน้าที่ทำให้ทุกคนตระหนักและเข้าใจถึงปัญหา ผลักดันให้การพัฒนาอย่างยั่งยืนเป็นวาระหลักในการพัฒนาของทุกประเทศ และสร้างแนวทางแก้ไขปัญหาที่เป็นระบบ ครอบคลุม และมีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาในแต่ละประเทศอย่างแท้จริง
โดยสิ่งที่คุณ Meyer มองว่าเป็นปัญหาอย่างมากในปัจจุบันก็คือการที่คนส่วนมาก ‘ได้ยิน’ ว่ามีปัญหา แต่ไม่เคย ‘รับฟัง’ ว่าปัญหานั้นคืออะไร และควรจะต้องมีวิธีแก้ไขอย่างไร เพราะถ้าหากรับฟังจนเข้าใจถึงความร้ายแรงของปัญหาอย่างถ่องแท้แล้ว ทุกคนย่อมลงมือเปลี่ยนแปลงวิถีการใช้ชีวิตตัวเอง เพราะหากยังนิ่งเฉย ทุกคนจะต้องพบกับผลกระทบที่ร้ายแรง ซึ่งอาจทำให้มนุษยชาติสูญสิ้นไปได้
ทั้งนี้ คุณ Meyer ยังมองว่าถึงแม้ในปัจจุบัน ภาครัฐและภาคเอกชนจะออกมาประกาศความตั้งใจ และผลักดันให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนบ้างแล้ว ในบางกรณีการกระทำและผลลัพธ์ก็ยังมีความขัดแย้งกันอยู่ อย่างเช่น การที่รัฐบาลเน้นให้เงินสนับสนุนให้ประชาชนหันไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า แต่ไม่ได้ลงทุนกับพลังงานสะอาดควบคู่กันไปด้วย ทำให้สุดท้ายก็เพิ่มการใช้ไฟฟ้าที่ผลิตโดยพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล และไม่ได้ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนได้อย่างแท้จริง เพราะถึงแม้จะไม่ปล่อยคาร์บอนในขั้นตอนที่คนใช้รถ แต่ก็ปล่อยมากขึ้นในขั้นตอนการผลิตไฟฟ้า
นอกจากนี้ คุณ Meyer ยังมองด้วยว่า นอกจากการพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อมแล้ว ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนก็ควรเน้นการพัฒนาด้านสังคมเพื่อเพิ่มความเท่าเทียมด้วย เพราะในประเทศไทยบริษัทขนาดเล็กและขนาดกลาง รวมไปถึงประชาชนรายย่อยต่างๆ ที่อยู่ในเมืองอื่นๆ ที่ไม่ใช่เมืองหลวง ก็มีส่วนสำคัญมากในการพัฒนาประเทศ ดังนั้นหากมุ่งเน้นพัฒนาแต่เพียงในบางพื้นที่ สำหรับคนแค่บางกลุ่ม การพัฒนานี้ก็จะไม่มีความยั่งยืน เพราะสร้างความเหลื่อมล้ำในสังคม ที่สุดท้ายผลเสียก็จะตกกับทุกคนในประเทศในที่สุด
ภาครัฐเน้นสร้างสังคมน่าอยู่ ขอภาคเอกชนและประชาชนร่วมมือ
ส่วนทางด้านตัวแทนของภาครัฐ คุณวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวว่า ในการสร้างเมืองและสังคมที่ยั่งยืน ภาครัฐมีหน้าที่ใน 2 ส่วนด้วยกัน คือ
ทั้งนี้ คุณ วราวุธ ยังกล่าวอีกด้วยว่า ถึงแม้รัฐบาลจะมีหน้าที่กำหนดนโยบายและแนวทางในการพัฒนาและบริหารประเทศ แต่นโยบายของรัฐบาลก็เป็นเพียงแค่ข้อความบนหน้ากระดาษเท่านั้น และจะเป็นจริงไม่ได้เลยหากไม่ได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชนและประชาชน ที่ต้องทำตามสิ่งที่รัฐบาลวางไว้ โดยคุณวราวุธเชื่อว่าหากทุกคนในประเทศไทยร่วมมือร่วมใจกัน ประเทศไทยจะสามารถผ่านพ้นทุกปัญหา และสร้างความเปลี่ยนแปลงด้านความยั่งยืนที่ยิ่งใหญ่ในสังคมได้แน่นอน
คุณปณต สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ลิมิเต็ด หนึ่งในผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของไทยและของโลก กล่าวว่าธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ สร้างมลพิษถึง 40% ของโลก ดังนั้น บริษัทจึงมีหน้าที่ในการพัฒนาพื้นที่เอื้อให้ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิตให้มีความยั่งยืนขึ้นได้ และต้องทำงานร่วมกับผู้ใช้ให้ใช้พื้นที่ให้เป็น ไม่เพียงแต่เน้นพัฒนาพื้นที่เพื่อผลกำไรเพียงเท่านั้น
โดยทางเฟรเซอร์เองได้มีความพยายามสร้างพื้นที่เพื่อความยั่งยืนมาตลอดการดำเนินธุรกิจ 30 ปี ไม่ว่าจะด้วยการพัฒนาโครงการนำร่องในประเทศไทย เช่น ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ ที่มุ่งเน้นเป็น inclusive space ที่คนทุกคนในทุกระดับเข้ามาใช้งานได้ การพัฒนาโครงการ Parq ที่มีการจัดการของเสียอาหารได้ 100% หรือการใส่ระบบจัดการของเสีย แยกขยะ หรือประหยัดพลังงานภายในโครงการ ที่เอื้อให้ผู้ใช้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ดีต่อสิ่งแวดล้อมขึ้นได้
และในโครงการล่าสุดคือ One Bangkok ทางเฟรเซอร์ก็ได้มีการเข้าไปพูดคุยกับชุมชนโดยรอบเพื่อถามความต้องการและศึกษาวิถีชีวิตของผู้คนโดยรอบ เพื่อออกแบบให้ตึก One Bangkok สร้างความกระทบต่อความเป็นอยู่ของชุมชนมากที่สุด อีกทั้งยังมีการพัฒนาการใช้ปูนและเหล็กเพื่อให้ดีต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และมีการสร้างพื้นที่สีเขียวภายในโครงการด้วยการเว้นที่ว่างจากฟุตปาธ 40-45 เมตรเพื่อสร้างกรีนสเปซ ที่จะเป็นประโยชน์กับทุกคน ไม่ใช่เพียงแค่ผู้ใช้หรืออยู่อาศัยในโครงการเพียงเท่านั้น
ดังนั้น เฟรเซอร์จึงให้ความสำคัญกับการทำงานร่วมกับผู้ใช้ เพื่อที่จะพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้ทั้งสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ และช่วยใช้ผู้ใช้ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของตัวเองด้วย
ส่วนทางด้านแขกคนสุดท้ายซึ่งเป็นตัวแทนจากภาคส่วนประชาชน หรือ คุณเข็มอัปสร สิริสุขะ นักสิ่งแวดล้อมและธุรกิจเพื่อสังคม กล่าวว่า ถึงแม้เรื่องความยั่งยืนจะเป็นเรื่องที่ทุกคนมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว และเป็นสิ่งที่ตัวเองไม่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงใดๆ ได้ แท้จริงจริงเรื่องนี้เป็นเรื่องใกล้ตัวกว่าที่ทุกคนคิด โดยสามารถเริ่มง่ายๆ ได้ด้วยการเปลี่ยนพฤติกรรมใน 5 แบบด้วยกันคือ