ในยุคที่การทำงานทางไกลกลายเป็นเรื่องปกติ ผู้บริหารระดับสูงหลายคนกำลังใช้ประโยชน์จากความยืดหยุ่นนี้ในการทำงานจากที่ใดก็ได้ในโลก อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกัน พนักงานจำนวนมากกลับถูกเรียกตัวกลับเข้าสำนักงาน สร้างความแตกต่างที่เห็นได้ชัดและอาจนำไปสู่ความไม่พอใจในหมู่พนักงาน บทความนี้จะเจาะลึกถึงแนวโน้มที่เกิดขึ้นนี้ พร้อมทั้งวิเคราะห์สาเหตุที่ทำให้เกิดความแตกต่าง และเสนอแนวทางในการลดความเหลื่อมล้ำเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เป็นธรรมและเท่าเทียม
เทรนด์ใหม่ที่บริษัทต่างๆ ทั่วโลก เริ่มเปิดรับรูปแบบการทำงานเพื่อดึงดูดและรักษาผู้บริหารที่มีความสามารถ โดย สตาร์บัคส์ คอร์ปอเรชั่น มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองซีแอตเทิล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่อย่าง Brian Niccol ของบริษัท กลับไม่ได้พำนักอยู่ในเมืองหรือแม้แต่รัฐเดียวกัน เช่นเดียวกับ บริษัท วิคตอเรีย ซีเคร็ท แอนด์ โค (victoria secret and co) ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่โคลัมบัส รัฐโอไฮโอ ได้แต่งตั้งประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่คือ Hillary Super ซึ่งจะประจำอยู่ที่นิวยอร์กแทน นี่กำลังเป็นเทรนด์ที่กำลังเกิดขึ้นในหมู่ผู้บริหารระดับสูง ซึ่งเลือกที่จะทำงานจากระยะไกลในขณะที่พนักงานจำนวนมากกลับต้องเผชิญกับความยืดหยุ่นในการทำงานที่ลดลง
โดย นาย Brian Niccol ซีอีโอคนใหม่ของ Starbucks ไม่จำเป็นต้องย้ายไปอยู่ที่สำนักงานใหญ่ที่ซีแอตเทิล แม้ว่าเขาจะต้องเดินทางไปทำงานที่นั่นเป็นประจำก็ตาม เขายังได้รับอนุญาตให้มีสำนักงานที่บ้านเกิดของเขาที่นิวพอร์ต บีช รัฐแคลิฟอร์เนีย และ Starbucks จะดูแลค่าใช้จ่ายในการเดินทางให้เขาด้วยการอนุญาตให้ใช้เครื่องบินของบริษัท ฝั่ง นาง Hillary Super ซีอีโอคนต่อไปของ Victoria's Secret เลือกที่จะย้ายไปอยู่ที่นิวยอร์กแทนที่จะอยู่ที่สำนักงานใหญ่ที่โคลัมบัส รัฐโอไฮโอ และ Victoria's Secret จะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเดินทางของเธอ
ถึงแม้ว่าทั้งสองท่านจะตกลงที่จะพยายามเดินทางไปทำงานที่สำนักงานใหญ่ให้เป็นประจำ แสดงให้เห็นว่าแม้จะมีความยืดหยุ่นในการทำงาน แต่การพบปะกันโดยตรงก็ยังคงมีความสำคัญ นี่เป็นตัวอย่างของแนวโน้มที่กำลังเกิดขึ้น ที่บริษัทต่างๆ เริ่มเปิดรับรูปแบบการทำงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้น เพื่อดึงดูดและรักษาผู้บริหารที่มีความสามารถ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก
ช่วงต้นปีที่แล้ว Starbucks ออกนโยบายให้พนักงานออฟฟิศต้องกลับมาทำงานที่บริษัทอย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์ ซึ่งก็มีพนักงานบางส่วนไม่เห็นด้วย โดย นาย Brian Niccol ซีอีโอคนใหม่ของ Starbucks เลือกที่จะไม่ย้ายไปประจำที่สำนักงานใหญ่ Seattle ตามธรรมเนียมปฏิบัติของบริษัท แม้ว่า CEO คนก่อนจะย้ายมาจากอังกฤษเพื่อมาประจำที่นี่ก็ตาม โฆษกของ Starbucks บอกว่า Niccol จะทำงานส่วนใหญ่ที่สำนักงานใหญ่ Seattle แต่ก็ไม่ได้ระบุว่าเขาจะย้ายมาอยู่ที่นี่เลยหรือไม่ ก่อนหน้านี้ Niccol เคยย้ายสำนักงานใหญ่ของ Chipotle ออกจาก Denver มาแล้ว
การตัดสินใจเรื่องสถานที่ทำงานของซีอีโอบางคนอาจขึ้นอยู่กับเหตุผลทางธุรกิจ อย่าง Kelly Ortberg ซีอีโอคนใหม่ของ Boeing เลือกประจำที่ Seattle เพื่อดูแลศูนย์ผลิตเครื่องบิน 737 ที่สำคัญ แม้ว่าสำนักงานใหญ่ของ Boeing จะอยู่ที่ Arlington, Virginia ก็ตาม บางครั้งก็ขึ้นอยู่กับว่าซีอีโออยู่ที่ไหน อย่าง Scott Kirby ของ United Airlines ก็แบ่งเวลาทำงานระหว่างบ้านที่ Dallas กับสำนักงานใหญ่ที่ Chicago
Hillary Super ซีอีโอคนใหม่ของ Victoria's Secret ก็ไม่ได้ประจำอยู่ที่สำนักงานใหญ่ใน Ohio และเธอก็ไม่ใช่ผู้บริหารระดับสูงคนแรกที่ทำแบบนี้ด้วย ทั้งประธานแบรนด์และหัวหน้าฝ่ายออกแบบก็อยู่ที่ New York โฆษกของ Victoria's Secret บอกว่า "เรามีสำนักงานใหญ่อยู่หลายที่ รวมถึงที่ New York สำหรับเรา สิ่งสำคัญที่สุดคือให้ทีมงานรู้สึกว่าได้รับการสนับสนุน ไม่ว่าพวกเขาจะทำงานอยู่ที่ไหน" ด้าน Martin Waters อดีตซีอีโอของ Victoria's Secret ก็ประจำอยู่ที่ New York และเดินทางไปสำนักงานใน Ohio บ่อยๆ
ซีอีโอของบริษัทชั้นนำหลายแห่งทั่วโลกในเวลานี้ สามารถปฏิบัติงานจากสถานที่ใดก็ได้ สะท้อนให้เห็นถึงกระแสการเปลี่ยนแปลงในโลกการทำงานยุคใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับ "ผลลัพธ์" มากกว่า "สถานที่" โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับตำแหน่งระดับสูงที่ต้องใช้ทักษะการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์และภาวะผู้นำ ซึ่งสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพผ่านช่องทางการสื่อสารออนไลน์ อย่างไรก็ตาม การที่หลายองค์กรยังคงเรียกพนักงานกลับเข้าสำนักงาน แม้จะมีตัวอย่างของซีอีโอที่ทำงานจากระยะไกลได้สำเร็จ ก็ทำให้เกิดคำถามว่า เหตุใดจึงมีความแตกต่างกันเช่นนี้ สำหรับเหตุผลที่เราลองมา วิเคราะห์ กันว่าทำไม CEO ยุคใหม่ ทำงานที่ไหนก็ได้ แต่ ทำไมพนักงานต้องกลับเข้าออฟฟิศ?
การที่ซีอีโอสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของโลกการทำงานที่ให้ความสำคัญกับผลลัพธ์มากกว่าสถานที่ อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจให้พนักงานกลับเข้าสำนักงานอาจมาจากปัจจัยหลายประการ เช่น ลักษณะงาน ความรับผิดชอบ วัฒนธรรมองค์กร และความกังวลของผู้บริหาร ซึ่งแต่ละองค์กรต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อสร้างสมดุลระหว่างความยืดหยุ่นในการทำงานและประสิทธิภาพขององค์กร
แม้ว่าการมอบความยืดหยุ่นในการทำงานให้กับผู้บริหารระดับสูงเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันอาจสร้างความรู้สึกไม่เท่าเทียมกันในหมู่พนักงาน หากองค์กรต้องการรักษาบุคลากรที่มีคุณค่าและสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เป็นธรรมอย่างแท้จริง การลดความเหลื่อมล้ำระหว่างพนักงานจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น เพื่อสร้างความสมดุลและส่งเสริมความเป็นธรรมในองค์กร เราขอเสนอแนวทางการลดความเหลื่อมล้ำระหว่างพนักงาน ดังนี้
การลดความเหลื่อมล้ำระหว่างพนักงานไม่ใช่เพียงแค่การให้สิทธิพิเศษที่เท่าเทียมกัน แต่ยังรวมถึงการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ทุกคนรู้สึกได้รับการเคารพ มีคุณค่า และมีโอกาสเติบโตอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งจะนำไปสู่ความผูกพันและความสำเร็จขององค์กรในระยะยาว
สุดท้ายนี้ในโลกยุคใหม่ที่การทำงานทางไกลกลายเป็นเรื่องปกติ การสร้างสมดุลระหว่างความยืดหยุ่นในการทำงานและความเป็นธรรมในองค์กรเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง องค์กรต่าง ๆ ควรตระหนักถึงความสำคัญของการลดความเหลื่อมล้ำระหว่างพนักงาน และพยายามสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ทุกคนรู้สึกได้รับการเคารพ มีคุณค่า และมีโอกาสเติบโตอย่างเท่าเทียมกัน
ซึ่งจะนำไปสู่ความผูกพันและความสำเร็จขององค์กรในระยะยาว การปรับตัวและนำแนวทางที่กล่าวมาข้างต้นไปปฏิบัติ จะช่วยให้องค์กรสามารถก้าวผ่านความท้าทายนี้ไปได้ และสร้างอนาคตที่สดใสให้กับทั้งพนักงานและองค์กรเอง
อ้างอิง Bloomberg