บอกลาปัญหา “ยางรั่ว ยางแตก ยางแบน” กับนวัตกรรมสุดล้ำ “ยางไร้ลม หรือ ยางNPT” ที่ตอนนี้หลายแบรนด์กำลังเร่งพัฒนา เพื่อให้มาเป็นทางเลือกใหม่ของรถยนต์ ซื้อครั้งเดียว อายุการใช้งานยาวนาน ไม่ต้องเติมลม ไม่ต้องพกล้ออะไหล่ แถมไม่กลัวเศษแก้วและตะปู
Spotlight พาคุณมารู้จักยางแห่งอนาคตชนิดนี้ และอัพเดตความเคลื่อนไหวว่า 3 แบรนด์ยักษ์ใหญ่แห่งวงการยางล้รถยนต์ ไปถึงไหนกันแล้วบ้าง?
ยาง NPT หรือชื่อเต็มคือ Non-pneumatic tire คำว่า “pneumatic” แปลว่า เกี่ยวกับหรือใช้แรงดันลม ชื่อของยางชนิดนี้ จึงแปลว่า “ยางที่ไม่ใช้ลม” โดยยางชนิดนี้ จะไม่มียางใน แต่ใช้โครงสร้างยางที่มีลักษณะเหมือนการถัก เพื่อเพิ่มความสามารถในการรับน้ำหนักให้กับล้อยาง และเมื่อไม่ต้องเติมลม ก็สามารถตัดปัญหาเรื่องลมรั่ว ลมอ่อน สามารถวิ่ง/ด้บนหลากหลายสภาพพื้นผิว และหมดห่วงเรื่องของมีคมทำให้ยางแตก จนรถวิ่งไม่ได้
เป้าหมายของ “Goodyear” แบรนด์ยางรถยนต์ระดับตำนาน คือการนำ ยางไร้ลม ไปใช้กับรถยนต์ไร้คนขับ (Autonomous Vehicle) จึงได้เริ่มนำยาง NPT มาใช้ทดสอบกับรถรับ-ส่งของบริษัทพันธมิตร ตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นมา โดยนอกจากจะพิจารณาในเรื่องความความยั่งยืนของกระบวนการผลิต ความทนทานแบบไม่ต้องคอยซ่อมบำรุง และอายุการใช้งานของยางแล้ว Goodyear ยังให้ความสำคัญกับเรื่องของความนุ่มสบายของการนั่งในห้องโดยสาร ความดังของเสียง และปัจจัยอื่นๆ อีกด้วย
โดยขณะนี้ได้ยาง NPT ของ Goodyear ได้ผ่านการทดสอบแล้วเป็นระยะทางกว่า 1.2 แสนกิโลเมตร ด้วยระดับความเร็วสูงสุดที่ราว 160 กม./ชม. เพื่อทดสอบว่ายางชนิดใหม่นี้ ลูกค้าจะสามารถไว้วางใจได้จริงๆ โดยได้มีการนำไปทดสอบกับรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นดัง “Tesla Model 3” ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ ทั้งการขับขี่หลบสิ่งกีดขวาง เข้าโค้งรัศมีแคบ ก็สามารถทำได้โดยดี แถมรักษาระดับความเร็วไว้ได้อย่างน่าพอใจ
ด้านผู้บริหารของ Goodyear มองว่านี่เป็นก้าวสำคัญของบริษัท ในการพัฒนาวงการยานยนต์ และบริษัทมีแผนจะนำยาง NPT ออกสู่ตลาดภายในปลายปี 2030
ด้าน Michelin อีกหนึ่งแบรนด์ยางรถยนต์เจ้าใหญ่ระดับโลก ได้จับมือกับ “General Motors (GM)” ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่จากสหรัฐ ร่วมกันคิดค้นพัฒนายางรถยนต์ไร้ลมในชื่อ “UPTIS” ซึ่งเป็นตัวย่อของคำว่า “Unique Puncture-proof Tire System” หรือ ระบบยางล้อรถยนต์กันรั่วที่เป็นเอกลักษณ์! โดยทางแบรนด์เคลมว่าไม่ว่าจะเป็นตะปู เศษแก้ว หรือเศษหิน ก็ไม่สามารถทำให้ Uptis หยุดวิ่งได้! แถมยังแล่นฉิวได้บนหลากหลายพื้นผิวถนน พื้นถนนยางมะตอย, พื้นดิน และพื้นผิวที่ขรุขระ แบบไม่ต้องกลัวยางแตก ยางรั่วอีกต่อไป
ความลับของยาง Uptis ที่ทำให้ทนทานสู้ทุกสภาวะถนน คือ การใช้พลาสติกเสริมใยแก้วที่มีความเหนียวสูงเพื่อรองรับดอกยาง ซึ่งมีความยืดหยุ่นและดูดซับแรงกระแทกได้ดี ส่วนผสมของล้ออะลูมิเนียมกับโครงสร้างรองรับน้ำหนักที่ทำจากพลาสติกเสริมไฟเบอร์กลาส (GFRP) และวัสดุยางคอมโพสิท (Composite Rubber) ซึ่งสามารถสวมทับล้อแม็กทั่วไปได้เลย
โดย Michelin อวดสถิติว่าจะสามารถช่วยโลกประหยัดงเงินและทรัพยากร จากปัญหายางเสื่อมสภาพซึ่งเกิดจากปัญหายางเสื่อม ยางแตกได้ถึง 20% คิดเป็นยาง 200 ล้านเส้นต่อปี คิดเป็นน้ำหนักเท่ากับหอไอเฟลรวมกันถึง 20 แห่ง!
อีกหนึ่งแบรนด์ยักษ์ใหญ่วงการยางล้อรถยนต์ “Bridgestone” ก็ได้ซุ่มพัฒนายางไร้ลมของตัวเองเช่นกัน แม้จะยังไม่เปิดเผยรายละเอียดมากนัก หนึ่งเอกลักษณ์ที่กินขาดเจ้าอื่น คือการเลือกใช้ “สีเขียวมะนาว” บริเวณแก้มยาง ที่นอกจากทำให้รถของคุณโดดเด่นกว่ารถคันอื่นๆ บนถนนแล้ว ยังแสดงออกถึงความใส่ใจที่คุณมีต่อสิ่งแวดล้อมด้วย โดย Bridgestone ได้กล่าวถึงข้อดีของยาง NPT ไว้ดังนี้
-ลดการปล่อย CO2 : ยางทั่วไปสูญเสียพลังงานกว่า 90% ไปกับการเปลี่ยนรูปของยาง (นึกภาพว่าคุณกำลังกลิ้งลูกโป่งน้ำบนพื้น แทนที่จะกลิ้งไปข้างหน้าทันที แต่ลูกโป่งต้องยวบยาบ เปลี่ยนรูปก่อนที่จะยอมกลิ้งไปข้างหน้า ยางรถยนต์แบบเติมลมก็เช่นกัน แต่ในสเกลที่น้อยกว่า) ยาง NPT ที่ Bridgestone พัฒนาขึ้นนี้จะคงรูปได้ดีขึ้น และขับเคลื่อนรถของคุณได้แบบประหยัดพลังงานมากขึ้น
-เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม : Bridgestone จะใช้ยาง NPT เหล่านี้ในการเป็นต้นแบบยางสีเขียว ซึ่งผลิตจากวัสดุที่สามารถนำไปรีไซเคิลได้ 100% และยางที่หมดอายุ ก็สามารถนำมาเป็นส่วนประกอบของยางเส้นใหม่ได้เช่นกัน
-ช่วยลดต้นทุนมหาศาล : ยางที่ไม่มีวันแตก แบน และรั่ว จะช่วยลดต้นทุนค่าบำรุงรักษาให้กับการใช้รถยนต์ในอุตสาหกรรมหนัก เช่น เกษตรกรรม เหมืองแร่ และการก่อสร้างได้อย่างมหาศาล
-ไม่ต้องพกยางอะไหล่ : เมื่อยางไม่มีวันแตกหรือรั่ว เราก็ไม่มีความจำเป็นจะตกแบกยางอะไหล่ติดรถไปด้วย ช่วยเพิ่มพื้นที่ในตัวรถ แถมประหยัดน้ำมันได้อีกด้วย
แม้หลายแบรนด์จะพัฒนายาง NPT และทดสอบการใช้งานจนใกล้ความเป็นจริงมากๆ แล้ว แต่ก็ยังต้องใช้เวลาศึกษา ทดลอง และทดสอบเพิ่มเติม เพื่อให้สามารถผลิตในสเกลระดับโลกได้ โดยเราน่าจะได้เห็นยางไร้ลมเหล่านี้วางขายจริงในช่วงปี 2024 - 2030
ที่มา : Goodyear, Bridgestone, Michelin, Environman, Mashable, Thomasthailand