ความยั่งยืน

ปรับตัวเมื่อโลกวิกฤต คืนสมดุลให้ธรรมชาติ รับมือ Climate Change

6 ต.ค. 67
ปรับตัวเมื่อโลกวิกฤต คืนสมดุลให้ธรรมชาติ รับมือ Climate Change

โลกของเรากำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายครั้งใหญ่ จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ตั้งแต่ระดับชุมชน ไปจนถึงระดับโลก ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง และทวีความรุนแรงขึ้น เป็นสัญญาณเตือน ที่เราไม่อาจเพิกเฉยได้อีกต่อไป "การปรับตัว" จึงกลายเป็นกุญแจสำคัญ ที่จะช่วยให้มนุษย์สามารถรับมือ และอยู่รอด ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และ "การออกแบบ" คือเครื่องมือทรงพลัง ที่จะช่วยให้เราปรับตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยั่งยืน และสอดคล้องกับธรรมชาติ

ปรับตัวเมื่อโลกวิกฤต คืนสมดุลให้ธรรมชาติ รับมือ Climate Change

ปรับตัวเมื่อโลกวิกฤต คืนสมดุลให้ธรรมชาติ รับมือ Climate Change

ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทวีความรุนแรงขึ้น สร้างความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจในวงกว้าง ตั้งแต่ระดับชุมชน ประเทศ ไปจนถึงระดับโลก การเสวนา "Design for Climate Adaptation: ออกแบบเพื่อปรับตัวเมื่อโลกวิกฤต" จึงเกิดขึ้นเพื่อร่วมหาทางออก โดยเชิญผู้ทรงคุณวุฒิหลากหลายสาขามาร่วมพูดคุย ถึงแนวทางการออกแบบเพื่อปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ลดความเสี่ยง และบรรเทาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ภายในงานได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่ คุณชุตยาเวศ สินธุพันธุ์ Chief Sustainability Officer สถาบันเกษตรกรรมและสถาปัตยกรรมธรรมชาติเพื่อระบบนิเวศเมืองและชนบท (NAATURE), คุณวิภาวี คุณาวิชยานนท์ ผู้ร่วมก่อตั้ง Design for Disasters Foundation (D4D) และ ดร. พลพัฒน์ นิลอุบล หัวหน้าศูนย์วิจัย Water Adaptation Innovation Center (WAIC) มาร่วมแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ โดยมี ผศ.คมกริช ธนะเพทย์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำภาควิชาการวางแผนภาคและเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้ดำเนินรายการ

การเสวนาจัดขึ้น ณ เวที Talk Stage งาน SUSTAINABILITY EXPO 2024 เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2567 โดยมีประเด็นสำคัญคือ การนำเสนอแนวคิด "การออกแบบเพื่อปรับตัว" ซึ่งเป็นการผสมผสานความรู้ด้านการออกแบบ สถาปัตยกรรม วิศวกรรม และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรม ที่ช่วยให้มนุษย์สามารถอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ

Resilience มองหาจุดสมดุลของการปรับตัวเพื่อรับมือภัยพิบัติ

ปรับตัวเมื่อโลกวิกฤต คืนสมดุลให้ธรรมชาติ รับมือ Climate Change

ดร. พลพัฒน์ นิลอุบล หัวหน้าศูนย์วิจัย Water Adaptation Innovation Center (WAIC) ได้หยิบยกประเด็น "Resilience" หรือความสามารถในการฟื้นตัวและสร้างภูมิคุ้มกัน ซึ่งเป็นแนวคิดที่ถูกกล่าวถึงอย่างกว้างขวางในยุคที่โลกเผชิญกับภัยพิบัติที่ทวีความรุนแรงขึ้น อย่างไรก็ตาม คำถามสำคัญที่มักถูกตั้งขึ้น คือ "เราควรปรับตัวอย่างไร เมื่อใด และที่ไหน" เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการรับมือกับภัยพิบัติ

ดร. พลพัฒน์ ได้วิเคราะห์แนวทางการแก้ไขปัญหาในภาพรวม โดยชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างของการดำเนินงาน ระหว่างภาครัฐ และภาคประชาชน ซึ่งภาครัฐมักมุ่งเน้นการแก้ปัญหาในระดับมหภาค ผ่านโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก และระยะเวลาดำเนินการยาวนาน เช่น การก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำ ในขณะที่ประชาชน มักปรับตัวในลักษณะ Autonomous Adaptation เช่น การยกบ้านให้สูงขึ้น ซึ่งวิธีการเหล่านี้ แม้จะช่วยบรรเทาปัญหาได้บ้าง แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นซ้ำซากได้อย่างยั่งยืน

เพื่อหาทางออกที่เหมาะสม ดร. พลพัฒน์ ได้เสนอแนวคิด "Opportunistic Adaptation" ซึ่งเป็นการปรับตัวเชิงรุก โดยอาศัยความร่วมมือ และการรวมกลุ่มกันของชุมชน เพื่อสร้างพลังในการขับเคลื่อน และเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ โดยนำแนวคิด "Building Lifecycle" มาประยุกต์ใช้ เป็นกรอบในการวิเคราะห์ วางแผน และกำหนดทิศทางการพัฒนา เพื่อตอบโจทย์ "ปรับตัวอย่างไร เมื่อใด และที่ไหน"

"การมองความเสื่อม เป็นโอกาสในการสร้างสิ่งใหม่ๆ เพื่อการปรับตัว" คือหัวใจสำคัญของแนวคิดนี้ โดย ดร. พลพัฒน์ ได้ยกตัวอย่างกรณีศึกษา เขตลาดกระบัง ซึ่งมีการสำรวจอายุ และสภาพความเสื่อมโทรมของสิ่งปลูกสร้าง เช่น ถนน และอาคาร เพื่อประเมิน และคาดการณ์ช่วงเวลาที่สิ่งปลูกสร้างเหล่านั้นจะหมดอายุการใช้งาน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ จะเป็นประโยชน์ต่อการวางแผน และเลือกใช้โซลูชันที่เหมาะสมในการปรับปรุง พัฒนา และฟื้นฟูพื้นที่ โดยสามารถอ้างอิง และประยุกต์ใช้แนวทางปฏิบัติที่ดี จากโครงการพัฒนาต่างๆ ทั่วโลก

ตัวอย่างเช่น โครงการ Flood Adaptation ซึ่งเป็นการออกแบบพื้นที่ริมน้ำ และแหล่งน้ำ ให้สามารถใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย เช่น การสร้างสวนสาธารณะ พื้นที่พักผ่อนหย่อนใจ หรือพื้นที่เชิงพาณิชย์ ในช่วงฤดูแล้ง และสามารถรองรับน้ำหลาก ในช่วงฤดูฝนได้

บทบาทของสถาปนิก และนักออกแบบ คือ การเป็น "ตัวกลาง" ที่เชื่อมโยง และสร้างความเข้าใจร่วมกัน ระหว่างชุมชน และผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ เพื่อกำหนดวิสัยทัศน์ และเป้าหมาย ในการพัฒนาเมือง และยกระดับคุณภาพชีวิต นำไปสู่การมีส่วนร่วม และการลงมือปฏิบัติ เพื่อสร้าง "เมืองที่พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง" อย่างยั่งยืน

Butterfly Effect เมื่อผีเสื้อขยับปีก สั่นสะเทือนถึงสึนามิ 200 เมตร

ปรับตัวเมื่อโลกวิกฤต คืนสมดุลให้ธรรมชาติ รับมือ Climate Change

คุณวิภาวี คุณาวิชยานนท์ ผู้ร่วมก่อตั้ง Design for Disasters Foundation (D4D) ได้นำเสนอทัศนะที่น่าสนใจเกี่ยวกับ "Butterfly Effect" หรือปรากฏการณ์ผีเสื้อขยับปีก ซึ่งเป็นแนวคิดที่อธิบายถึงผลกระทบอันใหญ่หลวงที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยในระบบ โดยยกตัวอย่างเหตุการณ์สึนามิขนาดใหญ่ที่มีความสูงถึง 200 เมตร ซึ่งเกิดขึ้นเป็นระยะเวลายาวนานถึง 9 วัน ณ กรีนแลนด์ โดยมีสาเหตุมาจากการละลายของภูเขาน้ำแข็งในบริเวณที่ห่างไกลออกไป

ปรากฏการณ์ดังกล่าว สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมโยงขององค์ประกอบต่างๆ ในระบบนิเวศ และความเปราะบางของสิ่งแวดล้อม โดยการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย อาจก่อให้เกิดผลกระทบเป็นลูกโซ่ นำไปสู่ภัยพิบัติร้ายแรงได้ในที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพิจารณาในบริบทของลักษณะทางธรณีวิทยา ที่มนุษย์อาศัยอยู่บนชั้นเปลือกโลกที่มีความบาง ซึ่งลอยอยู่เหนือแมกม่า ยิ่งตอกย้ำถึงความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ บนโลก และความเป็นไปได้ที่เหตุการณ์ในพื้นที่หนึ่ง จะส่งผลกระทบต่อพื้นที่อื่นๆ ที่อยู่ห่างไกลออกไป

ภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น ภูเขาไฟระเบิด หากเกิดขึ้นในพื้นที่ที่ไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่ ย่อมไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน แต่หากมนุษย์เลือกที่จะตั้งถิ่นฐานในพื้นที่เสี่ยงภัย ย่อมมีความจำเป็นต้องเตรียมความพร้อม และวางแผนรับมือกับภัยพิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ ในส่วนนี้ การออกแบบ ถือเป็นกลไกสำคัญ ที่สามารถช่วยลดความเสี่ยง และบรรเทาผลกระทบจากภัยพิบัติได้อย่างมีนัยสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นในมิติของสถาปัตยกรรม การออกแบบภายใน เครื่องนุ่งห่ม ผลิตภัณฑ์ หรือแม้กระทั่งสื่อกราฟิก

ตัวอย่างเช่น การออกแบบบ้านเรือนของชุมชนท่าขนอน อำเภอคีรีรัฐนิคม จังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่ใช้วัสดุไม้ไผ่ในการก่อสร้าง ทำให้บ้านเรือนสามารถลอยตัวอยู่เหนือน้ำได้ และมีการผูกยึดบ้านไว้กับเสา เพื่อป้องกันการพัดพาของกระแสน้ำ หรือในกรณีของประเทศญี่ปุ่น ที่มีการก่อสร้างกำแพงกันคลื่นขนาดใหญ่ที่มีความสูงถึง 12 เมตร แต่เมื่อประสบกับสึนามิ พบว่ากำแพงดังกล่าวยังไม่สามารถป้องกันภัยพิบัติได้อย่างสมบูรณ์ จึงมีการเสริมความสูงของกำแพงเป็น 15 เมตร

คุณวิภาวี ได้อุปมาอุปไมยสังคม เปรียบเสมือนภาชนะแก้วที่บรรจุด้วยหินหลากหลายขนาด โดยหินก้อนใหญ่แทนภาครัฐ ส่วนหินก้อนเล็กแทนประชาชน ซึ่งทุกภาคส่วน จำเป็นต้องร่วมมือกันในการบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเตรียมความพร้อมรับมือกับภัยพิบัติ โดยคำนึงถึงหลักการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ

ในมุมมองของนักออกแบบและศิลปิน คุณวิภาวี ได้กล่าวถึงความสำคัญของ "การตระหนักรู้ในความแตกต่างระหว่างสิ่งที่สำคัญ และสิ่งที่จำเป็น" รวมถึงการประยุกต์ใช้ศิลปะในการดำเนินชีวิต ผ่านการเลือก การตัดสินใจ และการจัดลำดับความสำคัญ อย่างมีสติ เพื่อนำไปสู่การสร้างสรรค์ผลงาน และการรับมือกับความท้าทายต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เรียนรู้จากธรรมชาติ กุญแจสำคัญสู่การออกแบบเพื่อคืนสมดุล

ปรับตัวเมื่อโลกวิกฤต คืนสมดุลให้ธรรมชาติ รับมือ Climate Change

คุณชุตยาเวศ สินธุพันธุ์ Chief Sustainability Officer สถาบันเกษตรกรรมและสถาปัตยกรรมธรรมชาติเพื่อระบบนิเวศเมืองและชนบท (NAATURE) ได้กล่าวถึง "Climate Change" หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ส่งผลกระทบในระยะยาว และจะยังคงอยู่กับเราต่อไป โดยปัญหาสิ่งแวดล้อมนี้นำไปสู่ความยากจน และการอพยพย้ายถิ่นฐาน ในหลายพื้นที่ทั่วโลก ปัจจุบัน อุณหภูมิโลกสูงขึ้นถึง 2 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอัตราที่เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้กว่า 100 ปี อันเป็นผลมาจากการพัฒนาของมนุษย์

คุณชุตยาเวศ ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของธรรมชาติ โดยยึดหลัก "ธรรมชาติถูกเสมอ" เพราะธรรมชาติได้สร้างระบบนิเวศ ที่สมบูรณ์แบบ เพื่อรักษาสมดุลของสิ่งมีชีวิต ตัวอย่างเช่น การค้นพบดอกกล้วยไม้ชนิดหนึ่งในมาดากัสการ์ โดยชาร์ลส์ ดาร์วิน ซึ่งมีกระเปาะเก็บน้ำหวานยาวกว่า 20 เซนติเมตร ทำให้ดาร์วินตั้งสมมติฐานว่า จะต้องมีแมลงชนิดพิเศษ ที่สามารถเข้าถึงน้ำหวานในดอกไม้ชนิดนี้ได้ และกว่า 100 ปีต่อมา นักวิทยาศาสตร์ก็ได้ค้นพบผีเสื้อกลางคืน ที่มีจมูกยาว สามารถดูดน้ำหวานจากดอกกล้วยไม้ดังกล่าวได้จริง เช่นเดียวกับในป่าของประเทศไทย ที่มีกระทิง ซึ่งทำหน้าที่กินหญ้า และมีเสือ ซึ่งเป็นผู้ล่า คอยควบคุมประชากรกระทิง เพื่อไม่ให้กระทิงกินพืช และทำลายสมดุลของระบบนิเวศ

ปัจจุบัน ธรรมชาติกำลังพยายามปรับสมดุล หลังจากที่มนุษย์เข้าไปรบกวน เช่น การตัดไม้ทำลายป่า เพื่อทำการเกษตร การทำประมงน้ำลึก ที่ทำลายพื้นที่ใต้ทะเล และการสร้างเมืองใหญ่ บริเวณปากแม่น้ำ ซึ่งเป็นพื้นที่รับน้ำ และเกิดการตกตะกอน ดังนั้น มนุษย์ควรเรียนรู้ และนำแนวคิดจากธรรมชาติ มาประยุกต์ใช้ในการออกแบบเมือง และวิถีชีวิต เช่น การออกแบบเมืองในอดีต ที่มักมีรูปทรง Organic Shape คล้ายกับใบไม้ ซึ่งสะท้อนถึงการเข้าใจ และการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม หรือการนำแรงบันดาลใจจาก "แพมด" ที่มดสามารถรวมตัวกัน และลอยน้ำได้ มาประยุกต์ใช้ในการสร้างเมืองลอยน้ำ โดยแบ่งหน้าที่ให้กับคนในเมือง เช่น การดูแลสวน การผลิตพลังงาน และการบำบัดของเสีย เป็นต้น ซึ่งในประเทศไทย มีตัวอย่างโครงการบ้านสะเทินน้ำสะเทินบก หรือ Amphibious House ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ประสบปัญหาน้ำท่วมเป็นประจำทุกปี

การคืนสมดุลให้กับธรรมชาติ ต้องอาศัยการสนับสนุน และการปล่อยให้ธรรมชาติฟื้นฟูตัวเอง เช่น โครงการพัฒนาป่าไม้ ของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ที่มุ่งเน้นการพัฒนาคน ให้สามารถดูแลรักษาป่า รวมถึงหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่สอนให้รู้จักประมาณตน ใช้เหตุผล และคุณธรรม ในการดำเนินชีวิต ซึ่งเป็นแนวทางการพัฒนาที่สอดคล้องกับธรรมชาติ

สุดท้าย คุณชุตยาเวศ ได้เน้นย้ำว่า การเปลี่ยนแปลง ต้องเริ่มต้นที่ตัวเราเอง โดยยกตัวอย่างประสบการณ์ส่วนตัว เกี่ยวกับการลดการใช้รถยนต์ และหันมาใช้จักรยาน เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งเชิญชวนให้ทุกคน ร่วมกันลงมือทำ เพื่อสร้างสรรค์สังคม และเมืองที่ดีขึ้น โดยเริ่มต้นจากการเปลี่ยนแปลงตัวเอง ก่อนที่จะเรียกร้องให้ผู้อื่นเปลี่ยนแปลง

ก้าวต่อไป...สู่สมดุลแห่งการอยู่ร่วมกัน

ปรับตัวเมื่อโลกวิกฤต คืนสมดุลให้ธรรมชาติ รับมือ Climate Change

การเสวนา "Design for Climate Adaptation: ออกแบบเพื่อปรับตัวเมื่อโลกวิกฤต" ได้จุดประกายความคิด และเปิดมุมมองใหม่ๆ เกี่ยวกับการออกแบบเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการปรับตัว การเรียนรู้จากธรรมชาติ และการสร้างความสมดุลระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม

หัวใจสำคัญของการออกแบบเพื่อปรับตัว คือการมองหา "จุดสมดุล" ที่เหมาะสม ระหว่างการพัฒนา และการอนุรักษ์ ระหว่างความต้องการของมนุษย์ และขีดจำกัดของธรรมชาติ โดยอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ในการร่วมกันคิด ร่วมกันออกแบบ และร่วมกันลงมือทำ เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืน

แนวคิด "Resilience" หรือความสามารถในการฟื้นตัว และสร้างภูมิคุ้มกัน เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องตระหนัก และร่วมกันพัฒนา ทั้งในระดับบุคคล ชุมชน และประเทศ โดยการนำแนวคิด "Building Lifecycle" มาประยุกต์ใช้ จะช่วยให้เราวางแผน และเตรียมความพร้อม ในการรับมือกับภัยพิบัติ และการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

"Butterfly Effect" สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของทุกสรรพสิ่งในโลก และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย ดังนั้น เราต้องตระหนักถึงบทบาท และความรับผิดชอบของตนเอง ในการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม และร่วมกันสร้างสมดุล ให้กับระบบนิเวศ

การเรียนรู้จากธรรมชาติ เป็นสิ่งสำคัญ ที่ช่วยให้เราเข้าใจ และเคารพในความสมบูรณ์แบบของธรรมชาติ นำไปสู่การออกแบบ และพัฒนา ที่สอดคล้อง และเกื้อกูลต่อสิ่งแวดล้อม สุดท้าย การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง ต้องเริ่มต้นที่ "ตัวเราเอง" จากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การใช้ชีวิต และการบริโภค อย่างมีความรับผิดชอบ เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์สังคม และโลก ที่น่าอยู่ สำหรับคนรุ่นปัจจุบัน และคนรุ่นอนาคต

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT