เฉิงหนาน ในภาษาจีน ซึ่งแปลว่า "ผู้ชายเหลือทิ้ง" (Left-over men) ถูกใช้เรียกหนุ่มโสดชาวจีนที่มีอายุระหว่าง 30 - 40 ปี หลายล้านคน ที่ต้องดิ้นรนเพื่อหาคู่ครอง ซึ่งในปี 2025 นี้ ชายโสดในจีนอาจมีมากถึง 35 ล้านคนเลยทีเดียว เนื่องจากจำนวนประชากรทางเพศที่ไม่สมดุลกัน ทำให้จีนมีผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ด้านติง ฉางฟา รองศาสตราจารย์จากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเซียเหมิน ได้เสนอแนะให้มีการ “นำเข้าเจ้าสาวต่างชาติ” โดยให้รัฐบาลอำนวยความสะดวกการแต่งงานข้ามชาติเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว
ผู้เชี่ยวชาญทางเศรษฐศาสตร์เสนอแนะว่า ผู้ชายในประเทศจีนอาจพิจารณาแต่งงานกับผู้หญิงจากประเทศต่างๆ เช่น รัสเซีย กัมพูชา เวียดนาม และปากีสถาน เนื่องจากในชนบทของประเทศจีน มี "ผู้ชายเหลือทิ้ง" อยู่ประมาณ 34.9 ล้านคน ที่อาจเผชิญแรงกดดันในการแต่งงานเพื่อให้มีบ้าน รถ และสินสอดรวมมูลค่าระหว่าง 500,000 ถึง 600,000 หยวน (ราว 2.3 - 2.8 ล้านบาท ) สวนทางกับรายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชากรในเขตชนบททั่วประเทศจีน อยู่ที่ราว 20,000 หยวน (ราว 93,000 บาท)
คำแนะนำดังกล่าวสร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์บนโลกออนไลน์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะหญิงสาวชาวจีนหลายคนมองว่าการ "นำเข้า" เจ้าสาวต่างชาติ มีความคล้ายคลึงกับการค้ามนุษย์ ขณะที่บางคนแสดงความกังวลเกี่ยวกับอุปสรรคด้านภาษาที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้งในครอบครัว อย่างไรก็ตาม ผู้ชายหลายคนสนับสนุนความคิดนี้ พวกเขาเชื่อว่าเจ้าสาวชาวต่างชาติมีคาดหวังน้อยกว่า เพราะพวกเธอไม่ต้องการบ้าน รถยนต์ หรือสินสอดราคาสูง และถูกมองว่าทำงานหนักและมีคุณธรรม
รายงานของสถาบันการศึกษาด้านชนบทจีน จาก Central China Normal University ระบุว่าชายหนุ่มในแถบชนบทของจีน เผชิญกับความยากลำบากในการหาคู่ครองมากขึ้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยมองว่ามีสองสาเหตุหลัก คือ ค่าสินสอดที่สูงลิ่ว ซึ่งเจ้าสาวสามารถเรียกร้องจากชายหนุ่มได้ ยิ่งเจ้าสาวมีการศึกษาสูงหรือประกอบอาชีพมั่นคงเพียงใด ค่าสินสอดก็จะเพิ่มสูงขึ้นจนเกินความสามารถและความเป็นจริงที่ชายโสดส่วนใหญ่จะหาได้ อีกสาเหตุหนึ่งคือค่านิยมการแต่งงานได้เปลี่ยนไปแล้ว พ่อแม่ของบ่าว-สาวไม่สามารถบังคับลูกให้แต่งงานได้เหมือนแต่ก่อน และผู้หญิงจีนดูแลตัวเองได้มากขึ้น ความจำเป็นในการแต่งงานเพื่อพึ่งพาสามีจึงลดลงด้วย
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์หลายฝ่ายเชื่อว่า ปัญหาความไม่สมดุลที่เพศชายมากกว่าเพศหญิงที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศจีนอยู่นี้ เป็นผลพวงมาจากการดำเนิน “นโยบายลูกคนเดียว” ของรัฐบาลจีน ที่ประกาศใช้ตั้งแต่ปี 1979 และเพิ่งจะยกเลิกไปเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม ปี 2015 นับเป็นการสิ้นสุดนโยบายควบคุมประชากรที่บังคับใช้อย่างเข้มข้นมากว่า 35 ปี ซึ่งในระยะเวลากว่า 3 ทศวรรษที่ผ่านมา ได้สร้างความไม่สมดุลระหว่างเพศอย่างรุนแรง โดยเฉพาะครอบครัวชาวจีนที่มีค่านิยมในการมีลูกชายไว้สืบสกุล ทำให้ชาวจีนลักลอบทำแท้งเมื่อรู้เพศของเด็กในครรภ์ว่าเป็นผู้หญิง
แม้ว่ารัฐบาลจะออกกฎหมายห้ามทำนายเพศเด็กอย่างเด็ดขาด เพื่อป้องกันไม่ให้มีการทำแท้งหรือกำจัดเด็กผู้หญิง แต่ก็ไม่ช่วยลดอัตราการเกิดของเด็กผู้ชายที่สูงกว่าเด็กผู้หญิงมาตลอดหลายปี รายงานสำมะโนประชากรอย่างเป็นทางการของจีน แสดงให้เห็นว่า ในปี 2024 อัตราส่วนทางเพศอยู่ที่เด็กผู้ชายเกิดใหม่ 112 คน ต่อเด็กผู้หญิงเกิดใหม่ 100 คน เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ จะมีความต่างอยู่ที่เด็กผู้ชายเกิดใหม่ 105 - 106 คน ต่อเด็กผู้หญิงเกิดใหม่ 100 คน
ชาวจีนสมัยใหม่มองเห็นข้อดีของการสนับสนุนให้เกิดการแต่งงานข้ามชาติ ระบุว่า “การเปิดให้มีการแต่งงานระหว่างประเทศก็เหมือนกับการให้ Tesla เข้าสู่ตลาดจีน ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการแข่งขัน ปรับปรุงคุณภาพ และทำให้ราคาสำหรับผู้บริโภคลดลง ในทำนองเดียวกัน การแต่งงานระหว่างประเทศช่วยให้ชายและหญิงชาวต่างชาติเข้ามาในตลาดเปิดของจีนและแข่งขันกัน โดยแต่ละคนต้องอาศัยความสามารถของตนเอง และอาจเพิ่มโอกาสในการแต่งงานและเพิ่มอัตราการเกิด”
จิง กงจื่อ นักธุรกิจผู้ทรงอิทธิพลของจีน ที่มีผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดียจีน Douyin มากกว่า 1.8 ล้านคน กล่าวว่า “เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับจีนมาตั้งแต่สมัยโบราณ และในเชิงวัฒนธรรม เรามีความคล้ายคลึงกันหลายประการ ตัวอย่างเช่น เวียดนามยังคงเฉลิมฉลองวันตรุษจีนด้วย ผู้หญิงจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จึงไม่ประสบกับปัญหาทางวัฒนธรรมมากนัก เมื่อย้ายเข้ามาเป็นสะใภ้ชาวจีน นอกจากนี้ รายได้ในท้องถิ่นของประเทศเหล่านี้ยังต่ำมากอีกด้วย นั่นหมายถึงความคาดหวังเรื่องความมั่งคั่งทางการเงินของฝ่ายชาย อาจตอบโจทย์ของเจ้าสาวต่างชาติได้มากกว่า”
ปัจจุบัน เอเจนซีหาคู่ครองระหว่างหนุ่มโสดในจีนกับสาวต่างชาติได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในประเทศจีน หนึ่งในนั้นคือบริการหาคู่ระหว่างหนุ่มจีนและสาวรัสเซีย ซึ่งในรัสเซียเองก็ประสบปัญหาประชากรหญิงล้นประเทศด้วย การจับคู่ดังกล่าวจะสร้างความสมดุลระหว่างเพศให้กับทั้งสองประเทศ
คำแนะนำของรองศาสตราจารย์ติง ฉางฟา ประเด็นการแต่งงานกับเจ้าสาวต่างชาติ แท้จริงเป็นกระแสที่ได้รับความนิยมในจีนมาขึ้นในรอบทศวรรษที่ผ่านมา จนปัจจุบันกลายเป็นเรื่องธรรมดาและเป็นทางเลือกหนึ่งของครอบครัวชาวจีนที่มีลูกชาย ขณะที่ประเทศไทยเองมีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับชาวจีนเสมอมา และปัจจุบันก็มีนักธุรกิจจีนจำนวนมากที่ต้องการเข้ามาลงทุนในประเทศไทย การหาภรรยาชาวไทยจึงเป็นประโยชน์ต่อทางธุรกิจและตอบโจทย์การหาภรรยาที่เหมาะสมด้วย
สำหรับสาวไทย ก็เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่หนุ่มโสดชาวจีนในชนบทให้ความสนใจ แต่การติดต่อผ่านเอเจนซีหรือตัวกลางคนไทยที่ได้รับค่าตอบแทนจากการติดต่อ-เดินเอกสาร อาจขัดต่อกฎหมายและเข้าข่ายการค้ามนุษย์ นอกจากนี้ ยังมีเรื่องความแตกต่างทางวัฒนธรรม ที่นำไปสู่การสื่อสารที่ผิดพลาด ทำให้ชีวิตคู่ในอนาคตไม่ราบรื่น และเกิดความขัดแย้งระหว่างกัน
บทเรียนล่าสุดเกิดขึ้นในปี 2024 ที่ผ่านมา กรณีของสาวไทยวัย 24 ปี จากจังหวัดบึงกาฬ เดินทางหนีกลับไทยและร้องขอความช่วยเหลือจากสื่อมวลชน หลังจากที่เธอตกลงแต่งงานกับชายชาวจีนที่เอเจนซีอ้างว่าเป็นมหาเศรษฐี มีคอนโดอยู่ แต่แท้จริงแล้ว หนุ่มจีนอาศัยอยู่ในชนบทและทำไร่-ทำสวน เป็นอาชีพหลัก ซึ่งเอเจนซี่ได้เก็บค่าธรรมเนียมและค่าเดินเอกสารจากเจ้าบ่าวจีนไปหลายแสนบาทแล้ว ขณะที่เจ้าสาวไดเพียงสินสอดจำนวนหนึ่ง และไม่ได้ส่วนแบ่งตามที่ตกลงกันไว้ก่อนแต่งงาน รวมถึงเธอเองไม่สามารถทนอยู่กับวิถีชีวิตตามปกติของเจ้าบ่าวได้ เช่น การอาบน้ำเพียงวันละครั้ง หรือต้องใช้ห้องน้ำแบบชนบทซึ่งไม่อยู่ในตัวบ้านและไม่มีหลังคา
กรณีที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นว่า แม้การแต่งงานข้ามชาติจะมีข้อดีตามบทวิเคราะห์ของนักวิชาการและนักเศรษฐศาสตร์ของจีน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตการแต่งงานข้ามชาติมีความละเอียดอ่อนมากกว่านั้น ในตอนนี้ รัฐบาลจีนอาจจะยังไม่สนับสนุนการแต่งงานกับเจ้าสาวต่างชาติอย่างเป็นทางการ แต่หากวันหนึ่งจีนตัดสินใจแก้ปัญหาด้านประชากรอย่างจริงจังโดยใช้วิธีนี้ จีนและประเทศต้นทางของเจ้าสาว จะขีดเส้นแบ่งไม่ให้การแต่งงานเช่นนี้ ข้ามไปเป็นการค้ามนุษย์ได้หรือไม่ และชีวิตคู่ที่ไม่ลงตัวจะเลยเถิดกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือเปล่า