ศาลรัฐบาลกลางในรัฐวอชิงตัน มีคำพิพากษา ระงับคำสั่งฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งลงนามเมื่อวันจันทร์ที่ 20 มกราคมที่ผ่านมา ที่ระบุว่าให้มีการยกเลิกการมอบสิทธิพลเมืองโดยกำเนิดในสหรัฐฯ ซึ่งคำสั่งนี้จะมีผลต่อทารกที่พ่อแม่เป็นผู้อพยพผิดกฎหมาย พวกเขาจะไม่ได้สัญชาติอเมริกันอีกต่อไป และคำสั่งนี้จะขยายผลไปถึงนักท่องเที่ยวและผู้ที่พำนักอยู่ในสรัฐฯ เป็นการชั่วคราวด้วย
อย่างไรก็ตาม คำสั่งดังกล่าวต้องหยุดชะงักลง เนื่องจากอัยการสูงสุดรวมทั้งหมด 22 รัฐฯ ได้ยื่นฟ้องประธานาธิบดีทรัมป์ในกรณีดังกล่าวด้วย โดยให้เหตุผลว่าสิทธิการเป็นพลเมืองโดยกำเนิด อยู่ภายใต้การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญครั้งที่ 14 นั้น เป็น "สิทธิโดยอัตโนมัติ" และประธานาธิบดีหรือรัฐสภาไม่มีอำนาจตามรัฐธรรมนูญในการแก้ไขกฎหมายนี้ ล่าสุด ผู้พิพากษารัฐบาลกลางสหรัฐฯ จอห์น คอฟเฮเนอร์ ซึ่งพิจารณาคดีอยู่ที่เมืองซีแอตเทิล ได้อนุมัติคำร้องของนิค บราวน์ อัยการสูงสุดของรัฐวอชิงตัน ในการออกคำสั่งฉุกเฉินเพื่อระงับการบังคับใช้นโยบายดังกล่าวเป็นเวลา 14 วัน เพื่อรอการดำเนินการทางกฎหมายเพิ่มเติม
อัยการสูงสุดของวอชิงตันแถลงว่า คำสั่งดังกล่าวของทรัมป์จะทำให้เด็กต่างด้าวแรกเกิดในสหรัฐฯ จำนวน 150,000 คนต่อปี ไม่มีเอกสารตั้งแต่เกิด และไม่สามารถเป็นพลเมืองของประเทศใดได้เลย ด้านแมทธิว เจ. แพลตกิน อัยการสูงสุดของรัฐนิวเจอร์ซีย์ กล่าวว่า ความพยายามของนายทรัมป์ในการจำกัดสิทธิการเป็นพลเมืองโดยกำเนิดนั้นเป็นสิ่งที่ “ไม่ธรรมดาและสุดโต่ง”
ขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์เปิดเผยกับนักข่าวว่า รัฐบาลจะยื่นอุทธรณ์คำตัดสินดังกล่าวอย่างแน่นอน ด้านกระทรวงยุติธรรมระบุว่าจะปกป้องคำสั่งฝ่ายบริหารนี้ พร้อมทั้งยืนยันว่าการนิยามคำจำกัดความเรื่องสิทธิพลเมืองโดยกำเนิดของรัฐบาลทรัมป์ เป็นการตีความที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ
เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากเสร็จสิ้นพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งฯ ในวันที่ 20 มกราคม ที่ผ่านมา โดนัลด์ ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งพิเศษฝ่ายบริหารมากกว่า 100 ฉบับ หนึ่งในประเด็นที่ดุดันที่สุดคือมาตรการจัดการกับผู้อพยพผิดกฎหมาย หนึ่งในนั้นคือการสั่งยกเลิก "สิทธิในการได้รับสัญชาติโดยการเกิดในประเทศ" หรือที่เรียกว่า Birthright Citizenship โดยทรัมป์พยายามกำหนดให้เด็กที่เกิดในสหรัฐฯ จะได้รับสถานะพลเมืองโดยอัตโนมัติ ก็ต่อเมื่อเด็กคนนั้นต้องมีพ่อหรือแม่อย่างน้อย 1 คน เป็นผู้ที่มีถิ่นพำนักถาวรถูกต้องตามกฎหมายในสหรัฐฯ หรือเป็นพลเมืองอเมริกัน นั่นหมายความว่าเด็กที่เกิดโดยพ่อและแม่ผู้อพยพผิดกฎหมาย รวมถึงเด็กที่เกิดจากพ่อแม่ที่ถือวีซ่าพำนักชั่วคราว จะไม่ได้รับสิทธิในการเป็นพลเมืองสหรัฐฯ
ระหว่างการสัมภาษณ์ในรายการ “Meet the Press” ทางช่อง NBC เมื่อปีที่แล้ว ทรัมป์กล่าวว่าเขา “มีแผนแน่นอน” ที่จะระงับการให้สิทธิพลเมืองโดยกำเนิดเมื่อดำรงตำแหน่ง เขากล่าวว่าสหรัฐฯ จะต้องยุติเรื่องนี้ เพราะมันช่างไร้สาระ ทรัมป์และผู้ต่อต้านสิทธิพลเมืองโดยกำเนิดคนอื่นๆ โต้แย้งว่าการกระทำดังกล่าวสร้างแรงจูงใจให้ผู้คนเดินทางมาสหรัฐฯ อย่างผิดกฎหมายหรือเข้าร่วม "การท่องเที่ยวเพื่อคลอดบุตร" ซึ่ง สตรีมีครรภ์จะเข้ามาสหรัฐฯ โดยเฉพาะเพื่อคลอดบุตร เพื่อให้ลูกๆ ของพวกเธอได้รับสัญชาติก่อนที่จะเดินทางกลับไปยังประเทศบ้านเกิด
นอกจากนี้ ทรัมป์ เผยแพร่ข้อความในระหว่างหาเสียง ระบุว่าคำสั่งฝ่ายบริหารจะทำให้ชัดเจนว่าบุตรหลานของผู้คนที่อยู่ในสหรัฐฯ อย่างผิดกฎหมายไม่ควรได้รับหนังสือเดินทาง หมายเลขประกันสังคม หรือมีสิทธิได้รับสวัสดิการบางอย่างที่ผู้เสียภาษีเป็นผู้สนับสนุน เขายังเคยกล่าวว่า สหรัฐฯ เป็นเชียงประเทศเดียวในโลกที่มีกฎหมายนี้ แต่แท้จริงแล้ว มีมากกว่า 30 ประเทศทั่วโลกที่ให้สิทธินี้กับเด็ก ๆ ต่างด้าวที่เกิดในประเทศนั้น ๆ ส่วนใหญ่เป็นประเทศในฝั่งอเมริกาเหนือทั้งหมดที่ให้สิทธิเต็มรูปแบบกับทารก ขณะที่บางประเทศจะจำกัดสิทธิให้บางส่วนคือต้องมีพ่อหรือแม่เป็นพลเมืองสัญชาตินั้น ขณะที่ในเอเชีย มีเพียงประเทศปากีสถานและเนปาลที่มีกฎหมายนี้