สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า ทำเนียบของสหรัฐฯประกาศว่า สหรัฐฯจะระงับความช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครน โดยเจ้าหน้าที่ของทำเนียบขาวเปิดเผยว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ชัดเจนว่ากำลังโฟกัสไปที่ประเด็นสันติภาพ และต้องการพันธมิตรที่ยึดมั่นในเป้าหมายดังกล่าวเช่นกัน สหรัฐฯสั่งระงับและทบทวนความช่วยเหลือเพื่อให้แน่ใจว่า จะนำไปสู่การหาทางแก้ปัญหา
หลังจากนั้นสำนักข่าวบลูมเบิร์กของสหรัฐฯรายงานว่า สหรัฐฯกำลังระงับความช่วยเหลือทางทหารทั้งหมดที่ให้ยูเครนอยู่ในเวลานี้ จนกว่าทรัมป์จะพิจารณาแล้วพบว่า ผู้นำยูเครนมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างสันติภาพอย่างจริงใจ
รายงานยังระบุอีกว่า อาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหารทั้งหมดของสหรัฐฯที่ยังส่งไปไม่ถึงยูเครนจะถูกระงับทั้งหมด รวมถึงอาวุธที่อยู่ระหว่างการส่งและอยู่ในคลังเก็บที่โปแลนด์
ส่วนความช่วยเหลือของสหรัฐฯที่ส่งไปยูเครนนั้น ตามปกติแล้วจะมีสามช่องทางหลัก ได้แก่
1. อำนาจดึงจากคลังอาวุธของประธานาธิบดี อนุญาตให้กองทัพสหรัฐฯ นำอาวุธและยุทโธปกรณ์จากคลังของตนเองส่งไปยังยูเครนได้ ปัจจุบันยังคงมีงบประมาณคงเหลือประมาณ 3,850 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม ทำเนียบขาวเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะปล่อยความช่วยเหลือนี้หรือไม่
2. เงินทุนของกระทรวงการต่างประเทศ เป็นเงินทุนช่วยเหลือทางทหารมูลค่า 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งอาจถูกส่งให้ยูเครนในรูปแบบเงินช่วยเหลือหรือเงินกู้ ขณะนี้ กระทรวงต่างประเทศอยู่ระหว่างการพิจารณาโดยรัฐมนตรีต่างประเทศ มาร์โก รูบิโอ
3. ความริเริ่มช่วยเหลือด้านความมั่นคงต่อยูเครน (USAI) –โครงการที่ให้เงินสนับสนุนยูเครนเพื่อนำไปจัดซื้ออาวุธและยุทโธปกรณ์โดยตรงจากผู้ผลิตในสหรัฐฯ
ผู้สื่อข่าวของบีบีซีรายงานว่า เจ้าหน้าที่สหรัฐฯระบุว่า การระงับความช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครนในครั้งนี้เป็นเพียงมาตรการชั่วคราว จนกว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะพิจารณาว่ายูเครนมีความมุ่งมั่นในการเจรจาสันติภาพกับรัสเซีย
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลทรัมป์ต้องการให้ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกีของยูเครน ลงนามในข้อตกลงเกี่ยวกับแร่ธาตุและสร้างสันติภาพกับรัสเซีย แต่จะไม่ได้ให้หลักประกันด้านความมั่นคงตามที่ยูเครนร้องขอ ขณะที่ที่ปรึกษาของทรัมป์เน้นย้ำว่าจะให้หลักประกันทางเศรษฐกิจแทน
ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาสำคัญ ก่อนที่ทรัมป์จะกล่าวสุนทรพจน์ต่อสภาคองเกรสภายใน 24 ชั่วโมง ซึ่งเป็นโอกาสให้เขาแสดงผลงานของตนเอง เพราะการผลักดันให้เกิดข้อตกลงสันติภาพระหว่างยูเครนและรัสเซียเป็นสิ่งที่ทรัมป์ต้องการอย่างมาก
รัฐบาลทรัมป์ดูเหมือนจะต้องการให้ประธานาธิบดีเซเลนสกีกล่าวคำขอโทษหรือยอมรับข้อตกลงด้านแร่ธาตุโดยไม่มีเงื่อนไข หลังจากกล่าวหาผู้นำยูเครนว่าไม่แสดงความขอบคุณต่อสหรัฐฯ มากพอ
การระงับความช่วยเหลือทางทหารครั้งนี้ถูกมองว่า เป็นความพยายามกดดันเซเลนสกีให้ยอมอ่อนข้อ ขณะที่เขาต้องเผชิญภาวะสงครามกับรัสเซีย อย่างไรก็ตาม เซเลนสกีเคยแสดงท่าทีพร้อมประนีประนอมมาแล้ว ในการให้สัมภาษณ์เมื่อปีที่แล้ว เขายอมรับว่าอาจต้องปล่อยให้ดินแดนที่รัสเซียยึดครองอยู่ภายใต้การควบคุมของมอสโกต่อไป ขณะที่เสนอให้พื้นที่ที่เหลือของยูเครนสามารถเข้าร่วม NATO ได้
อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีทรัมป์กลับปฏิเสธแนวคิดให้ยูเครนเข้าเป็นสมาชิก NATO ซึ่งเป็นไปในแนวทางเดียวกับมอสโก และจนถึงขณะนี้ ทรัมป์ยังไม่เคยระบุว่า ต้องการให้รัสเซียทำอะไรเป็นการแลกเปลี่ยน