นางสาวณปภัสสร ต่อเทียนชัย CEO และรองประธานกรรมการ บริษัท วีแกนเนอรี จำกัด ผู้นำด้านธุรกิจร้านอาหารวีแกนของกรุงเทพฯ และประเทศไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้กระแสการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพในประเทศไทยกำลังได้รับความนิยมมากขึ้น โดยมีปัจจัยจากการระบาดของเชื้อโควิด-19 ที่ทำให้คนไทยในหลายๆ พื้นที่หันมาใส่ใจและเลือกรับประทานอาหารที่ให้คุณประโยชน์กับร่างกาย รวมทั้งตอบรับกับกระแสการดูแลสิ่งแวดล้อม ตลอดจนเทรนด์การลดการบริโภคอาหารที่มาจากสัตว์ เช่น เนื้อ นม ไข่ ชีส ฯลฯ ทำให้ตลาดของผลิตภัณฑ์อาหารประเภท "วีแกน" และ "แพลนต์เบส" ในประเทศไทยเติบโตมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจนในปีที่ผ่านมา ซึ่งในปัจจุบันจะเห็นได้ว่าทั้งกลุ่มร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ และซูเปอร์สโตร์ได้มีการพัฒนาเมนูต่าง ๆ ที่ใช้วัตถุดิบแพลนต์เบส รวมถึงเพิ่มพื้นที่ในการวางจำหน่ายเทียบเท่ากับการจำหน่ายเนื้อสัตว์จริง และคาดว่ารูปแบบการบริโภคนี้จะยังคงเติบโตเรื่อย ๆ และมีแนวโน้มขยายตัว 8-10% ต่อปี ซึ่งในปีนี้มีการประเมินว่าตลาดโปรตีนทางเลือกในไทยที่มีมูลค่ากว่า 3.62 หมื่นล้านบาท (ที่มา : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย)
นางสาวณปภัสสร กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อให้ตอบโจทย์กับกระแสการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพมากขึ้น ล่าสุด วีแกนเนอรี : Veganerie จึงได้ขยายธุรกิจจากเดิมที่เป็นร้านอาหารสำหรับลูกค้าวีแกนไปสู่ผู้ผลิตอาหารพร้อมรับประทาน โดยได้ร่วมมือกับบริษัท มอร์ฟู้ดส์อินโนเทค ผู้พัฒนาแพลนต์เบสสัญชาติไทยภายใต้แบรนด์ "มอร์มีท : More Meat" ออก 4 เมนูแพลนต์เบส Ready to eat ได้แก่ สปาเก็ตตี้โบโลเนส เกี๊ยวเนื้อจากพืชสไตล์เกาหลี ลาซานญ่าชีสถั่วหิมพานต์ และสปาเก็ตตี้ซอสแกงเขียวหวาน โดยความร่วมมือในครั้งนี้จะอยู่ในจุดที่ ส่งเสริมกันและกันซึ่งทางวีแกนเนอรีได้นำแพลนต์เบสของมอร์มีทมาปรุงเป็นอาหารแช่แข็งพร้อมรับประทาน คาดว่าจะช่วยให้เข้าหากลุ่มลูกค้าได้ง่ายขึ้นและกว้างขึ้น เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ได้อย่างสะดวกที่บ้าน โดยที่รสชาติและคุณภาพดีเยี่ยมเหมือนทานที่ร้าน ส่วนปัจจัยที่เลือกมอร์มีเป็นพาร์ทเนอร์เนื่องจากมีแนวคิด – วิสัยทัศน์ในการทำธุรกิจที่คล้ายกัน คือต้องการพัฒนาอาหารแพลนต์เบสเพื่อสุขภาพ อร่อย รสชาติเข้าถึงผู้บริโภคทุกคน พร้อมทั้งต้องการดึงคนที่ไม่เคยรับประทานแพลนต์เบสให้หันมาลองทานอาหารแนวนี้ นอกจากนี้ยังตรงกับเป้าหมายของวีแกนเนอรีเองคือ การสนับสนุนไลฟ์สไตล์วีแกน ที่เป็นผลดีต่อทุก ๆ ด้าน ทั้งสุขภาพ สัตว์โลก และสิ่งแวดล้อม ที่แสดงถึงความยั่งยืนอย่างแท้จริง เพราะที่ผ่านมาคนมักมองว่าการทานผัก หรือทานแพลนต์เบสนั้นเป็นเรื่องยาก ซึ่งทั้ง 4 เมนูจะทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกและรับประทานแพลนต์เบสได้ง่ายขึ้นอย่างแน่นอน
"ความร่วมมือกับมอร์มีทในการพัฒนา 4 เมนูแพลนต์เบสยังถือเป็นก้าวใหม่ของทางวีแกนเนอรี ที่ได้ก้าวเข้าสู่ รูปแบบการค้าปลีก ทำให้ช่องทางมีความหลากหลาย และผู้บริโภคทั้งกลุ่มเดิมของมอร์มีทและวีแกนเนอรี รวมถึงผู้ที่เริ่มสนใจการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพจะได้รู้จักทั้งสองแบรนด์มากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นการตอกย้ำถึงศักยภาพความเป็นคอมมูนิตี้ หรือเติร์ดเพลซ : Third Place ของผู้ที่ชื่นชอบการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพ ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อเข้ามารับประทานอาหารที่ร้าน หรือได้เลือกซื้อแพลนต์เบส 4 เมนูบนช่องทางต่าง ๆ จะได้สัมผัสถึงความแตกต่างของอาหารเพื่อสุขภาพที่ไม่เหมือนใครแน่นอน" นางสาวณปภัสสร กล่าวทิ้งท้าย
ด้านนางสาวกัญญ์วรา ธนโชติวรพงศ์ CEO และ ผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท มอร์ฟู้ดส์อินโนเทค จำกัด ผู้พัฒนาแพลนต์เบสแบรนด์ "มอร์มีท (More Meat)" กล่าวว่า ที่ผ่านมาผลิตภัณฑ์ของมอร์มีทจะเน้นเป็นแพลนต์เบสพร้อมปรุงซึ่งเป็นการขายเพื่อให้ผู้บริโภคหรือลูกค้านำไปประกอบอาหารเองได้ตามใจชอบ เพื่อให้ได้เมนูที่หลากหลายตามความชอบของแต่ละคน แต่การร่วมมือกับวีแกนเนอรีครั้งนี้ ทั้งสองแบรนด์จะเน้นไปที่การทำอาหารพร้อมรับประทาน โดยการนำเอาแพลนต์เบสของมอร์มีทมาเป็นส่วนประกอบในแต่ละเมนู เพื่อให้ลูกค้าเลือกซื้อหรือรับประทานได้อย่างหลากหลาย และทำให้ลูกค้าเข้าถึงการบริโภคแพลนต์เบสได้มากยิ่งขึ้น โดยคาดว่าหลังจากได้มีการจำหน่ายทั้ง 4 เมนูนี้ ทั้งมอร์มีท และวีแกนเนอรี่จะได้ฐานลูกค้าเพิ่มมากขึ้นทั้งกลุ่มของคนรักสุขภาพ กลุ่มที่ต้องการควบคุมอาหาร กลุ่มที่ลดการบริโภคผลิตภัณฑ์จากสัตว์ รวมถึงกลุ่มลูกค้าที่เป็นแฟนคลับของแต่ละแบรนด์อีกด้วย
"สำหรับ 4 เมนูแพลนต์เบส Ready to eat ได้แก่ สปาเก็ตตี้โบโลเนส เป็นเมนูที่ได้รับความนิยมในหลาย ๆ ร้านอาหาร ซึ่งในการนำมอร์มีทมาใช้เป็นวัตถุดิบหลักนั้น นอกจากจะทานง่ายแล้ว ยังทำให้เมนูนี้มีคุณค่าทางอาหารที่มากขึ้น โดยเอกลักษณ์ยังคงไว้ซึ่งความเหนียมนุ่มของเส้น รสชาติกลมกล่อมของซอสและสมุนไพร เช่น ออริกาโน ใบกระวาน ที่ถูกปรุงมาเป็นอย่างดี เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบอาหารอิตาเลียนและอาหารประเภทเส้น จำหน่ายในราคา 199 บาท ตามด้วย ลาซานญ่าชีสถั่วหิมพานต์ อีกเมนูเอกลักษณ์ของอาหารอิตาเลียนที่ขึ้นชื่อที่สุดในโลก เมนูนี้มีทั้งเอกลักษณ์ความหอมของชีสจากถั่วหิมพานต์ ความกลมกล่อมของซอสและมอร์มีทที่เข้ากันอย่างลงตัว เหมาะทั้งการเป็นเมนูรับประทานเล่น หรือทานคู่กับสปาเก็ตตี้โบโลเนส โดยจำหน่ายในราคาเพียง 189 บาท สปาเก็ตตี้ซอสแกงเขียวหวาน เมนูที่ถูกนำมารังสรรค์ในสไตล์ไทย ๆ มาพร้อมกับรสชาติเข้มข้นแบบฉบับเครื่องเทศและความเผ็ดร้อนแบบไทยแท้ และเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความอิ่มจากแหล่งโปรตีนธรรมชาติอย่างเต้าหู้บุก และชื่นชอบเมนูผสมผสานระหว่างไทยและตะวันตก จำหน่ายในราคา 179 บาท และเกี๊ยวเนื้อจากพืชสไตล์เกาหลี ผู้ที่ชื่นชอบอาหารเกาหลีต้องไม่พลาดเมนูนี้ ซึ่งมีทั้งความเหนียวนุ่มของตัวเกี๊ยว รสชาติความเปรี้ยวของกิมจิ ตัดกับซอสหอมๆ รวมทั้งความเด้งของเนื้อมอร์มีทที่เข้ากันได้อย่างลงตัว เหมาะสำหรับการเป็นอาหารทานเล่นระหว่างวัน หรือผู้ที่ต้องการรับประทานมื้อเบาๆ จำหน่ายในราคาเพียง 149 บาท"
สำหรับในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาแม้ว่าจะมีสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 แต่อัตราการเติบโตของตลาดแพลนต์เบสกลับเติบโตได้เป็นอย่างดี เริ่มมีผู้ประกอบการเจ้าใหม่ ๆ เข้ามาลงเล่นในสนามนี้มากยิ่งขึ้นไม่ว่าจะเป็นในระดับสตาร์ทอัพและบริษัทขนาดใหญ่ ซึ่งข้อนี้ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีที่จะทำตลาดอาหารแพลนต์เบสขยายตัว และช่วยสร้างทางเลือกให้กับผู้บริโภคได้อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตามหลายภาคส่วนอาจกังวลว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้อาจเป็นข้อเสียเปรียบสำหรับผู้ผลิตรายเล็ก ๆ อย่างเอสเอ็มอี หรือสตาร์ทอัพ แต่แท้จริงแล้วประเด็นดังกล่าวกลับเป็นอานิสงส์ที่สำคัญสำหรับมอร์มีท เนื่องจากทางบริษัทไม่ได้เน้นการแข่งขันกับธุรกิจขนาดใหญ่แต่จะเน้นไปที่การร่วมเป็นพันธมิตร หรือเป็นพาร์ทเนอร์ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญอย่างมากในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามอร์มีทได้ร่วมเป็นพาร์ทเนอร์ในการส่งวัตถุดิบไปปรุงรสชาติเป็นเมนูพร้อมทานใหม่ ๆ เช่น ลาบทอดจากพืช และ ต้มยำทอดจากพืช ของแบรนด์ วีฟาร์ม ที่ได้มีการนำไปใช้กับพิซซ่าแพลนต์เบสของร้านโดมิโนพิซซ่า โดยกลยุทธ์การเป็นพาร์ทเนอร์เหล่านี้ทำให้มอร์มีทมีการเติบโตที่ 30% ในช่วงปีที่ผ่านมา
สำหรับเป้าหมายและแนวทางการทำธุรกิจอาหารแพลนต์เบสของมอร์มีทในต่อจากนี้ ยังคงคอนเซ็ปต์เพื่อสุขภาพและความยั่งยืน แต่จะเน้นการพัฒนาอาหารที่พร้อมรับประทานให้มากขึ้น โดยเลือกใช้พืชท้องถิ่นใหม่ๆมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ ควบคู่กับการวิจัยคุณประโยชน์และคุณค่าทางอาหาร เพื่อตอบโจทย์ความหลากหลายของผู้บริโภคและไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนในปัจจุบันมากยิ่งขึ้น และในปี 2565 ยังมองเรื่องการส่งออกสินค้าไปขายในต่างประเทศทั้งในแถบเอเชีย และยุโรป โดยเฉพาะในส่วนหลังที่ตลาดนั้นค่อนข้างกว้าง และมีอัตราเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนต่อยอดผลิตภัณฑ์เดิมให้ดียิ่งขึ้นและร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ใหม่ๆทั้งในและนอกตลาด นางสาวกัญญ์วรา กล่าวสรุป
สำหรับ ทั้ง4 เมนูแพลนต์เบส Ready to eat ได้แก่ สปาเก็ตตี้โบโลเนสส, ลาซานญ่าชีสถั่วหิมพานต์, สปาเก็ตตี้ซอสแกงเขียวหวาน และเกี๊ยวเนื้อจากพืชสไตล์เกาหลี วางจำหน่ายพร้อมกันในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ซึ่งเป็นวันวีแกนโลก สามารถเลือกซื้อได้ทางร้านวีแกนเนอรี (สาขาพร้อมพงษ์), ร้านค้าออนไลน์ อย่าง www.veganerieworld.com และซุปเปอร์มาร์เก็ต เดียร์ ทัมมี่ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Line @veganerieworld