แม็กซีน อินทิพร แต้มสุขิน อดีตนักแสดงสาว ที่เคยใช้ชีวิตสุดโต่งจนป่วยหนัก มาสู่สายสุขภาพตัวยง หากไม่ทรมานในวันนั้น ก็จะไม่เจอชีวิตและสุขภาพที่ดีในวันนี้
เคยโลดแล่นอยู่หน้าจอในฐานะนักแสดงและพิธีกร สำหรับ แม็กซีน อินทิพร แต้มสุขิน ที่ล่าสุดในวันนี้เธออยู่ในฐานะ Content Creator สายสุขภาพและไลฟ์สไตล์ บอกเล่าเรื่องราวการดูแลรักษาสุขภาพตัวเองง่ายๆ ผ่านประสบการณ์ชีวิตเคยป่วยหลายโรคเพราะใช้ชีวิตสุดโต่งมากเกินไป
สวัสดีค่ะ แม็กซีน อินทิพร แต้มสุขิน นะคะ แม็กเป็น Content Creator ด้านสุขภาพ ที่พยายามจะแบ่งปันเรื่องราวการรักษาตัวเองผ่านวิธีธรรมชาติ และทำให้การดูแลสุขภาพเป็นเรื่องง่าย ผ่านช่องทางไม่ว่าจะเป็นอินสตาแกรม TikTok เฟซบุ๊ก และล่าสุดก็ทางยูทูปภายใต้ชื่อ Maxdicine ค่ะ
อดีตคนที่ใช้ชีวิตสุดโต่ง สู่สายสุขภาพตัวยง
จริงๆ เราเป็นคนที่ใช้ชีวิตสุดโต่งมากเลยนะคะตั้งแต่เด็ก คือปาร์ตี้ก็ปาร์ตี้สุดโต่ง แล้วพอมาเรื่องออกกำลังกาย ก็ออกวันนึง 4-5 ชั่วโมง เรื่องกินอาหารก็ซีเรียสเรื่องการกินเรื่องคุมน้ำหนัก กินแบบต้องชั่งน้ำหนักกิน พอทุกอย่างมันสุดโต่งมาก มันก็สร้างความเครียดในร่างกายเราโดยที่เราไม่รู้ตัว ก็เป็นการใช้ชีวิตมาตลอดเป็นแบบนี้โดยที่ไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นอะไร
ปาร์ตี้สุดโต่งขนาดไหนคือยันหว่างค่ะ เราก็คิดมาตลอดว่าไม่เป็นไร เราใช้ชีวิตแบบนี้ได้เราแฮปปี้ดี นึกว่าตัวเองเป็นแบบไอร่อนแมนแบบซุปเปอร์วูแมนด้วยซ้ำ แต่จริงๆ แล้วพอมันผ่านระยะเวลาไป การสะสมพฤติกรรมเหล่านั้นก็ทำให้เรามีอาการเริ่มไม่สบาย เริ่มจากการที่ประจำเดือนมาปีละ 2 ครั้งก่อน แล้วก็เริ่มมาปีละครั้ง ก็ไปตรวจสุขภาพ เลยทราบว่า หนึ่งด้วยความที่เราออกกำลังกายมากเกินไป ควบคุมการกินอาหารมากเกินไป ทำให้ปริมาณไขมันเราน้อยเกินไป ร่างกายเลยไม่ผลิตฮอร์โมน มันก็เหมือนเป็นโดมิโน่เอฟเฟ็คในเรื่องอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Growth Hormone เท่ากับคนอายุ 80 คือร่างกายเราไม่สามารถฟื้นฟูตัวเองได้ ภูมิคุ้มกันเราไม่แข็งแรง
ตามมาด้วยเรื่องของสะเก็ดเงิน ลมพิษ สารหนูเป็นพิษในเลือด เป็นโรคนอนไม่หลับ บวกกับการที่เราเคยเป็นโรคกระเพาะมาตั้งแต่เด็กตั้งแต่ 8 ขวบ ทำให้ลำไส้หรือกระเพาะอาหารเราไม่แข็งแรงอยู่แล้ว การดูดซึมมีปัญหา เราก็มีปัญหาเรื่องขับถ่าย ลำไส้แปรปรวน ที่มันเกิดจากพฤติกรรมการกินและความเครียดของร่างกายซึ่งมันปะทุออกมาตอนที่อายุ 27 ค่ะ
ตอนที่ประจำเดือนมาปีละ2 ครั้ง เราก็ไม่ได้เอะใจนะคะ ก็รู้สึกสบายดีเหมือนกันนะ (หัวเราะ) แต่จริงๆ มันไม่ดีหรอก มันคือการที่ร่างกายพยายามจะบอกว่ามีความผิดปกตินะ ประจำเดือนมันต้องมาทุกเดือน แต่เราก็เลือกที่จะไม่ฟัง เพิกเฉยไป มันไม่เป็นอะไรหนิไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับชีวิต ไม่ได้เจ็บอะไร แต่พอการที่เราเลือกที่จะไม่ฟังเขาหลายปี ก็เลยทำให้อาการต่างๆ ค่อยๆ โชว์ขึ้นมา
สัญญาณเตือนปัญหาสุขภาพ
พอประจำเดือนมาจากปีละสองครั้ง เป็นหนึ่งครั้ง ก็เริ่มหนาวๆ แล้ว บวกกับมีอาการเริ่มนอนไม่หลับตอนกลางคืนค่อนข้างบ่อย เพลียตลอดเวลา ไปทำงานต้องมีคนขับรถให้เพราะมันง่วงตลอดเวลา เริ่มเป็นสัญญาณ แล้วถุงใต้ตาดำมาก ฉะนั้นพอมันบวกกัน ก็คิดว่าเราต้องไปตรวจสักหน่อยดีกว่า
ตอนที่รู้ว่า Growth Hormone เท่ากับคนอายุ 80 ก็ยังเลือกที่จะทำตัวเพิกเฉยต่อ โอเคแหละ เดี๋ยวมันก็ดีขึ้น ยังไม่ได้ปรับพฤติกรรม แต่พอเริ่มเป็นสะเก็ดเงินกับลมพิษมันเริ่มหนัก ร่างกายเริ่มส่งสัญญาณหนักขึ้นเรื่อยๆ อันนี้เริ่มกังวลแล้วเพราะเป็นโรคที่ทรมานมาก การเป็นสะเก็ดเงินกับลมพิษ มันเหมือนมีมดอยู่ข้างใต้ผิวแล้วคันยิบๆ ทุกครั้งที่ฝนตกอากาศเปลี่ยน แล้วทำอะไรไม่ได้นอกจากรอให้มันเกิดขึ้นแล้วรอว่ามันจะหายเมื่อไร พอมันเริ่มทรมานก็เลยรู้สึกว่าต้องมีการเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้วค่ะ
จุดเปลี่ยนแรกคือ "มายด์เซ็ต"
จุดแรกที่เริ่มเปลี่ยนเป็นเรื่องของมายด์เซ็ตค่ะ เพราะตลอดมาที่เราใช้ชีวิต เราคิดอยู่เสมอว่าฉันทำได้ อยากจะทำอะไรก็ทำได้ แต่หนึ่งด้วยอายุที่เพิ่มขึ้น สองการสะสมพฤติกรรมต่างๆ มันเลยทำให้มันเกิดสิ่งนี้ ฉะนั้นถ้ายูไม่ปรับมายด์เซ็ต ไม่ปรับหรือไม่คุยกับตัวเองว่าจะต้องพยายามเปลี่ยนนะ ยังไงสุดท้ายมันก็วนออกจากลูปนี้ไม่ได้ อย่างแรกที่เปลี่ยนเลยก็คือมายด์เซ็ต เราเปลี่ยนว่าไม่อยากป่วยแล้ว ต่อมาสเต็ปสองสเต็ปสามมันก็เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาหาร พฤติกรรม ที่สำคัญคือเรื่องของการควบคุมอารมณ์และความเครียดค่ะ
แรกๆ ที่ปรับเปลี่ยนไม่ยากเลยค่ะ ที่บอกว่าไม่ยากเพราะการไม่สบายทรมานกว่า การเป็นโรคอะไรสักอย่างมันมีเอฟเฟกต์หมดเลยนะคะ การที่เราไม่สบายกายไม่มีทางที่เราจะสบายใจได้ แชร์ให้ฟังว่าคุณพ่อเป็นมะเร็งค่ะ ทีนี้จำได้ว่าช่วงสุดท้ายที่คุณพ่อเป็นแกจะหงุดหงิดมาก เราจะเห็นว่าคนป่วยหลายๆ คน หนึ่งถ้าไม่ดูแลสุขภาพดีๆ พอไม่สบายกาย เขาก็จะหงุดหงิด เศร้า นอนไม่หลับเพราะไม่สบายตัว ฉะนั้นพอเรารู้แล้วว่าการที่เราไม่สบายตัว มันมีเอฟเฟ็คกับชีวิตประจำวันเรามากๆ เลยคิดว่ามันไม่ยากค่ะ
แม็กใช้เวลาฟื้นฟูโรคต่างๆ ทุกวันนี้ก็ยังพยายามเรียนรู้แล้วก็ฟื้นฟูประมาณ 2 ปีกว่านะ หลายคนอาจจะมองว่านาน แต่จริงๆ แล้วเราใช้เวลา 27 ปี กับการทำพฤติกรรมแบบนี้กว่าเขาจะออกมาเป็นอย่างนี้ ฉะนั้นการที่เรารู้สึกว่าเราเป็นแล้วเราใช้เวลา 2 ปี ฟื้นฟู ถือว่ามันก็เป็นเรื่องปกติ เป็นไปตามกระบวนการของมัน ต้อง trust the process หรือไว้ใจกระบวนการ ทำไปเรื่อยอๆ อย่างสม่ำเสมอ เป็นสิ่งที่สำคัญค่ะ
ความเปลี่ยนแปลงที่เห็น
สิ่งที่เห็นดีขึ้น ถ้าเรื่องของสุขภาพก็คือสมดุลความบาลานซ์มากขึ้น เป็นคนที่หย่อนแบบผ่อนคลายมากขึ้น แม็กว่าโรคหลายๆ โรค มันเกิดจากความเครียดซะส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นตอนนั้นที่เราออกกำลังกายหนัก แต่เราก็ยังมีพุงน้อยๆ มันก็คือ Stress fat ฉะนั้นสิ่งที่เราเห็นได้เลยก็คือความหย่อนลงแต่องค์รวมทุกอย่างของสุขภาพมันเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น
พฤติกรรมที่เลิกทำเลย โมโห ปรี๊ดแตก ด่า โกรธ เครียด อันนี้สิ่งที่เลิกทำเลย เห็นเป็นคนอย่างนี้เมื่อก่อนเป็นคนที่ใจร้อนมากนะคะ ใจร้อนจริงๆ อยากบอกว่า 90% ของโรคผิวหนัง มาจากตับที่ร้อน จากความเครียดหรืออารมณ์ที่โกรธ หรืออย่างใครที่หัวล้าน สีผมเปลี่ยน ผมขาวเร็ว เป็นไข่ดาวที่หัว มันเกิดจากอารมณ์ที่ร้อนปรี๊ด เลือดมีความเป็นกรด ฉะนั้นการที่เรามีอารมณ์แบบนี้แล้วเลือดวิ่งไปที่ตับ เลือดเสียวิ่งภายในร่างกาย ก็จะมีอาการหลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็น โรคผิวหนัง มะเร็ง หรือความสมดุล
อีกอย่างคือเห็นอย่างนี้ เมื่อก่อนเป็นคนที่กลัวอ้วนมาก เลยออกกำลังกายเยอะ ควบคุมน้ำหนัก มันเลยผอมแบบดูไม่ดีเลยค่ะแต่เราก็ยังไม่พอใจกับรูปร่างนะ พอเราปรับสิ่งเหล่านี้แล้ว เราแฮปปี้กับร่างกายเรามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรูปร่าง หุ่น ไขมันหน้าท้องก็หายไป อันนี้เป็นสิ่งที่เราเห็นเลย แล้วก็โรคต่างๆ ที่เป็น ไม่ว่าจะเป็น สะเก็ดเงิน หรือลมพิษ ก็ดีขึ้น ค่อยๆ ดีขึ้น ประจำเดือนก็เริ่มกลับมามากขึ้นต่อปี ค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ
บทเรียนชีวิต ไม่เจ็บป่วย ก็จะไม่ได้เรียนรู้และพัฒนาตัวเอง
ถ้าให้ย้อนเวลากลับไป ก็คิดว่าคงใช้ชีวิตแบบเดิมค่ะ เพราะถ้าเราไม่ใช้ชีวิตแบบเดิม คงไม่มีกระบวนการเรียนรู้แล้วมาพัฒนาให้ตัวเองเป็นคนที่ดีขึ้น แล้วสามารถแบ่งปันเรื่องราวการรักษาตัวเองเพื่อเป็นประโยชน์กับคนอื่นได้
แม็กคิดว่าตัวเองเปลี่ยนไปเยอะอยู่นะ เปลี่ยนไปในทางที่ดี จากคนที่อารมณ์ร้อน ทำทุกอย่างสุดโต่ง เราโตขึ้นด้วยอายุด้วย กลับมามองว่าการทำอะไรให้มันช้าลงให้มันอยู่ตรงกลางมากขึ้น แล้วก็เข้าใจเรื่องของเวลา ว่าทุกอย่างมันมีเวลาและไทม์มิ่งของมัน การที่เราไม่สบายตอนนั้น ก็ดีกว่าเราเป็นในตอนนี้ แล้วต้องใช้เวลาอีก 3 ปี เพื่อจะรักษา ก็เลยรู้สึกว่าทุกอย่างมันมีเวลาและกระบวนการของเขานะ
"มิสผัก" เพราะหันมารักสุขภาพ
มันเกิดจากการที่เราชอบเดินทางไปต่างจังหวัด ไปอยู่กับธรรมชาติ ก็จะชอบไปเดินตลาด เห็นผักแล้วน่าสนใจดีก็ลองชิมลองซื้อดู หรือบางทีเข้าไปในป่าจะมีคนที่พาเราไปเดิน เขาก็จะบอกว่าอันนี้กินได้ พอไปหลายๆ ครั้ง ก็อาจจะติดนิสัยจากตรงนี้ เลยเอามาทำเป็นคลิปที่เราทำ
จริงๆ เป็นคนที่ชอบผักนะคะ แต่อาจจะไม่ได้หลากหลายขนาดนี้ คุณแม่กับแม็กเป็นคนที่ชอบกินผักอยู่แล้ว เราก็กินประมาณนึงเหมือนกินทั่วไป พอเข้ามาวงการดูแลตัวเอง แม็กว่ามันเป็นเหมือนกฎแห่งการดึงดูด พอได้มาเจอเพื่อนๆ คนอื่นที่ดูแลรักษาสุขภาพ มีหลายๆ มุมมอง มันเกิดการแลกเปลี่ยน เลยทำให้เราสามารถที่จะเรียนรู้แล้วหยิบจับอะไรมาเข้าปากมากขึ้น รู้จักอันนี้มากขึ้น รู้จักว่าต้องกินยังไง ให้ผักเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการเสริมร่างกายสำหรับการรักษาโรค
พอเราชอบมากก็เลยไปศึกษาแพทย์แผนไทย ไปศึกษาอายุรเวช ศึกษาหลายๆ ศาสตร์ ของฝรั่งด้วย ก็เลยมีคลังความรู้แล้วก็คลังความสนใจมากๆ ก็อยากจะหยิบจับหลายๆ อย่างที่เราเจอเอามาใส่คลัง
ผักที่กินแล้วเปิดโลกมากที่สุด
ผักที่เปิดโลกมากที่สุดเป็นคำถามที่ท้าทายมากเลยนะ (หัวเราะ) เพราะว่าเป็นคนที่ตื่นเต้นกับหลายผักมาก แต่ถ้าให้คิดออกอย่างแรกตอนนี้น่าจะเป็นผักที่มาจากทางใต้ทางโซนสงขลา พัทลุง ชื่อว่าบอนยายรัด เป็นพืชผักสมุนไพรที่อเมซิ่งมาก ปกติเราจะรู้อยู่แล้วว่าบอนเวลาจับแล้วจะคัน แต่บอนยายรัดเป็นบอนพันธุ์เดียวที่ไม่คัน แล้วเขาจะขึ้นตามธรรมชาติและตามฤดูของเขาเท่านั้นเลย เรารู้สึกว่าอันนี้เป็นสัญลักษณ์ความหลากหลายของผักและการที่เราต้องกินตามฤดูกาล แล้วอย่างคือรสชาติเขาเข้ากับเกือบทุกอย่างได้หมดเลย ก็เลยถ้าให้คิดว่าเปิดโลกมากน่าจะเป็นบอนยายรัด แม็กไปเจอในตลาดที่โน่นค่ะ แล้วก็จำได้ว่าเคยทานครั้งหนึ่ง คือแม็กทำงานกับพี่น้องเกษตรกรอินทรีย์อยู่แล้วค่ะ ก็จะมีโอกาสไปร่วมงานทำอาหารในงานต่างๆ ของวิสาหกิจชุมชน เขาก็จะเอามาให้เรา เลยทำให้ได้รู็จักผักหลายอย่างที่ไม่เคยได้ยินไม่เคยเห็น
เรื่องใจฟูจากการรักตัวเอง..ผ่านคอนเทนต์สุขภาพ
ไปตัดผม แล้วเจอน้องที่เคาน์เตอร์ เขาบอกว่าเขาเป็นโรคกระเพาะมาหลายปี เขาดูคลิปการปรับวิธีการกินของเราแล้วลองทำตาม แล้วเขาบอกดีขึ้นเยอะมากเลย สำหรับแม็กช่วงหลังๆ มีคนขึ้นมาพูดแบบนี้กับเราค่อนข้างเยอะ มันทำให้เราดีใจมาก เหมือนสิ่งที่เราตั้งใจที่เราหว่านเมล็ดไปมันเริ่มเห็นต้น เห็นการเก็บเกี่ยว ทำให้เราดีใจมากๆ เลย หรือหมอฟันคนหนึ่งเขาบอกว่ามีไขมันในร่างกายสูงมาก เขาเห็นวิธีการปรับลำดับการกินแล้วทำเอาไปทำตาม เขาบอกว่าหลังจากนั้นสองสัปดาห์ไปตรวจ ค่าต่างๆ ดีขึ้นเยอะมาก เป็นสิ่งที่เราฟังแล้วก็รู้สึกภูมิใจมาก
แล้วก็มีคนมาขอเคล็ดลับการกินผัก คือแม็กเองจะไลฟ์ทุกวันอังคาร พฤหัส กับศุกร์ ช่วงเช้า 9-10 โมง ใน TikTok คำถามที่แม็กได้รับมากที่สุด คือจะเริ่มกินผักจะเริ่มยังไงดี เป็นคนที่ไม่ชอบกินผัก กินผักแล้วเหม็นเขียว ส่วนใหญ่แม็กก็จะแนะนำวิธีเริ่มต้นกินผัก แล้วก็เป็นเรื่องของการกินผักให้รักษาหรือช่วยเรื่องสะเก็ดเงินค่ะ
เป้าหมายด้านสุขภาพ
ดูแลตัวเองให้ดีที่สุดในทุกๆ วันค่ะ ให้สมดุลมากที่สุดแล้วก็ไม่ต้องไปเครียด วันไหนที่เรารู้สึกว่าร่างกายเราไม่สมดุล ก็ไม่เป็นไร เริ่มใหม่อีกทีพรุ่งนี้ เรารู้สึกว่าจิตเราเป็นสิ่งที่ดื้อมาก ฉะนั้นเมื่อไหร่ที่เราไปบังคับเขามากๆ มันจะทำให้มันเกิดอาการท้อได้
เราว่าความยากง่ายของแต่ละคนไม่เหมือนกันนะ เราถึงบอกว่าสุดท้ายแล้วถ้ามีเป้าหมายก่อน แล้วกระบวนการมันจะง่ายขึ้น ไม่ว่าคุณจะกำลังเจอบล็อกเรื่องการกินหรือออกกำลังกาย เรื่องอารมณ์ หนึ่งการที่เรามีเป้าหมายเป็นเรื่องที่สำคัญ สองมันจะทำให้เราเกิดการปรับมายด์เซ็ตได้ง่าย ฉะนั้นพอเรามีเป้าหมาย ปรับมายด์เซ็ตแล้วบล็อกที่คุณกำลังเจอไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอารมณ์ เรื่องการกินหรือว่าไม่มีแรงจูงใจออกกำลังกาย มันก็จะค่อยๆ ดีขึ้น ซึ่งเรารู้สึกว่าการเริ่มทีละอย่าง เริ่มแค่พฤติกรรมเดียวแล้วทำให้สม่ำเสมอ 21 วัน ให้ความเคยชิน มันก็ก็เริ่มง่ายขึ้นๆ เรื่อยๆ ก้าวแรกยากเสมอค่ะ ก็ขอส่งกำลังใจให้ใครที่กำลังอ่านอยู่แล้วกำลังเจอเรื่องท้าทาย แค่ทำสเต็ปแรกให้ได้ อยากชวนทำให้มันเป็นชาเลนจ์ตัวเองวันละหนึ่งพฤติกรรม อะไรที่เราไม่ชอบก็ทำเป็นเวลา 21 วัน มันก็จะง่ายขึ้นค่ะ
แม็กซีน อินทิพร ย้ำส่งท้ายว่า การรักและดูแลตัวเอง สิ่งสำคัญคือต้องรู้จักฟังร่างกายตัวเอง จะเป็นผลดีกับการดูแลตัวเองอย่างมาก
อย่างแรกเลยนะคะ ฟังร่างกายตัวเองค่ะ ถึงจะไม่ได้ป่วยหนักจนนอนซมหรือมีโรคอะไร แต่แม็กเชื่อว่าร่างกายเราพยายามจะบอกอะไรเราเสมอ อาจจะต้องรู็จักโฟกัสตัวเอง กลับมาดูกลับมาทบทวนกลับมาฟังร่างกายตัวเอง เริ่มต้นเท่านี้พอค่ะ อะไรที่เราไปอ่านในอินเตอร์เน็ตหรือในสื่อทั่วไปว่าให้ทำอย่างนี้ A B C D E ดีสำหรับเขา อาจไม่ใช่ดีสำหรับเรา คุยกับตัวเอง รู้จักตัวเองให้มากขึ้น แล้วการที่ทำแบบนี้ผลที่ได้อีกอย่างนึงคือเราจะรักตัวเองมากขึ้นด้วยค่ะ
Advertisement