สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ไขคำตอบ วัคซีนไข้หวัดใหญ่ 3 สายพันธุ์ กับ 4 สายพันธุ์ ต่างกันอย่างไร ฉีดแบบไหนดีกว่า มีโรคประจำตัวฉีดได้ไหม
ไข้หวัดใหญ่ ยังคงเป็นโรคที่สำคัญและอยู่ในการเฝ้าระวังในปี 2568 เนื่องจากสามารถแพร่กระจายได้ง่ายและอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก และผู้ที่มีโรคประจำตัว การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ยังคงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ได้รับการแนะนำให้ฉีดทุกปี เพราะเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดไข้หวัดใหญ่นั้นมีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์อยู่เสมอ ซึ่งวัคซีนจะมีการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสายพันธุ์ที่ระบาดในปีนั้นๆ ดังนั้นการได้รับวัคซีนทุกปีจะช่วยให้เรามีภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นและลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้
การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่จึงยังคงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการป้องกันโรคในปี 2568 และเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสุขภาพที่สำคัญสำหรับคนในทุกวัย
• 3 สายพันธุ์ – ป้องกันไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิด A 2 สายพันธุ์ + ชนิด B 1 สายพันธุ์
• 4 สายพันธุ์ – ป้องกันไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิด A 2 สายพันธุ์ + ชนิด B 2 สายพันธุ์
วัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิด 3 และ 4 สายพันธุ์ มีส่วนประกอบที่เหมือนกัน ต่างกันที่ วัคซีนชนิด 4 สายพันธุ์ มีสายพันธุ์ B/Yamagata เพิ่มขึ้นมา
วัคซีนมีการปรับสูตรทุกปี ตามไวรัสที่ระบาดจริง แนะนำให้ฉีด ปีละครั้ง เพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญขององค์การอนามัยโลก (WHO) ได้แสดงความคิดเห็นว่า เนื่องจากไม่พบการระบาดของไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B/Yamagata มานานกว่า 4 ปี จึงมีความเสี่ยงต่ำมาก และ อาจไม่มีความจำเป็นต้องรวมสายพันธุ์นี้ในวัคซีนอีกต่อไป ดังนั้น วัคซีนไข้หวัดใหญ่ในอนาคตอาจเหลือเพียง 3 สายพันธุ์
องค์การอนามัยโลก (WHO) และ กระทรวงสาธารณสุข แนะนำให้ฉีดวัคซีนปีละ 1 ครั้ง เป็นประจำ เนื่องจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่ระบาดนั้น จะมีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์อยู่เรื่อย ๆ ในการผลิตวัคซีนแต่ละปีจึงมีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ตามเชื้อไวรัสด้วยเช่นกัน และเนื่องจากระยะก่อโรคสั้น จำเป็นต้องมีภูมิคุ้มกันสูงเพียงพอเพื่อเตรียมพร้อมในการป้องกันโรค ดังนั้นจึงต้องฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทุกปี
สถาบันวัคซีนแห่งชาติ เผยว่า วัคซีนไข้หวัดใหญ่สามารถฉีดป้องกันได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป ไม่ต้องมีโรคประจำตัวก็ฉีดได้
Advertisement