ภายหลังจากที่รัฐบาลเดินหน้าบูม "ซอฟต์พาวเวอร์" ยกเป็นวาระแห่งชาติ มีหลายมาตรการออกมาเพื่อส่งเสริมในเรื่องนี้ ล่าสุด ให้ความเห็นชอบการจัดตั้ง "เขตปลอดอากรประเภทหอศิลป์" มุ่งส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการจัดแสดงและซื้อขายงานศิลปะนานาชาติที่สำคัญของเอเชีย
ที่ผ่านมา การนำเข้างานศิลปะจากต่างประเทศต้องเสียภาษี 10% จากเพดานอัตราภาษี 60% ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามเสียภาษี 7.5% อินโดนิเซีย 5% ส่วนมาเลเซีย และฮ่องกงไม่ต้องเสียภาษี นอกจากนั้น ผู้จัดงานแสดงศิลปะจะต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกันในการนำเข้างานศิลปะเพื่อจัดแสดงอีกด้วย ถือเป็นอุปสรรคการนำเข้างานศิลปะเพื่อมาจัดแสดงและเพื่อการค้าในประเทศไทย
คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านศิลปะ และคณะอนุกรรมการจัดทำมาตรการสิทธิประโยชน์เพื่อการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์ ร่วมกับกรมศุลกากร ได้ยกร่างประกาศกรมศุลกากร เพื่อกำหนดเขตปลอดอากรประเภทใหม่ "เขตปลอดอากรประเภทหอศิลป์" กำหนดให้พื้นที่หอศิลป์ที่ได้ใบอนุญาตจากกรมศุลกากร สามารถนำเข้างานศิลปะจากต่างประเทศเพื่อการจัดแสดงต่อสาธารณะ หรือเพื่อการจัดเก็บ บำรุงรักษา ซ่อมแซมงานศิลปะได้ แบบ "ไม่เสียภาษีนำเข้า"
โดยมีรายการของที่ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า 4 ประเภท ในพื้นที่เขตปลอดอากรประเภทหอศิลป์ ได้แก่
1. ของที่ใช้ในการสร้าง ประกอบ หรือติดตั้งอาคารภายในเขตปลอดอากร
2. เครื่องจักร อุปกรณ์ เครื่องมือและเครื่องใช้ที่จำเป็นต่อการประกอบกิจการประเภทหอศิลป์
3. ของที่นำเข้ามาตามวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการประเภทหอศิลป์ เช่น งานศิลปะ อุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานศิลปะ
4. ของที่ปล่อยออกมาจากเขตปลอดอากรประเภทหอศิลป์อื่น (สามารถโอนย้ายงานศิลปะจากเขตปลอดอากรประเภทหอศิลป์แห่งหนึ่งไปอีกแห่งหนึ่งได้)
โดยหอศิลป์ที่ถูกประกาศให้เป็นเขตปลอดอากร จะมีระยะปลอดภาษีเป็นเวลา 2 ปี และสามารถขอขยายระยะเวลาได้คราวละ 1 ปี นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดให้ต้องมีพื้นที่สำหรับการจัดแสดงผลงานศิลปะของศิลปินไทยภายในหอศิลป์อีกด้วย ซึ่งกรมศุลกากรมีกำหนดที่จะประกาศใช้มาตรการจัดตั้งเขตปลอดอากรประเภทหอศิลป์ ภายในเดือนเมษายน 2568
นอกจากจะเป็นการลดภาระทางภาษีของผู้นำเข้าผลงานศิลปะ ลดภาระการวางหลักทรัพย์ค้ำประกันของผู้จัดแสดงงาน และเป็นการดึงดูดนักสะสม นักประมูลงานศิลปะจากทั่วโลกเข้าสู่ประเทศไทย ซึ่งเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวแล้ว ยังก่อให้เกิดกิจกรรมอื่นตามมา เช่น จะเกิดการจัดแสดงงานศิลปะนานาชาติมากขึ้น งานศิลปะของศิลปินไทยจะถูกจัดแสดงภายในงานจัดแสดงศิลปะนานาชาติมากขึ้น เกิดกิจกรรมอื่น เช่น การบำรุงรักษา การซ่อมแซมงานศิลปะที่มากขึ้น เกิดการจ้างงานด้านศิลปะมากขึ้น เกิดการซื้อขายงานศิลปะมากขึ้น ทั้งยังเป็นการเพิ่มโอกาสให้ นักเรียน นิสิตนักศึกษาและประชาชนทั่วไปจะสามารถเข้าถึงและเยี่ยมชมงานศิลปะนานาชาติได้ง่ายขึ้น อันเป็นสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดศิลปินหน้าใหม่ในวงการศิลปะอีกด้วย
นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้เตรียมประกาศใช้อีก 2 มาตรการภาษี เพื่อส่งเสริมงานศิลปะ ประกอบด้วย
1. มาตรการทางภาษีเพื่อสนับสนุนการซื้องานศิลปะ
ให้บุคคลธรรมดาซื้องานศิลปะสาขาทัศนศิลป์ สามารถนำค่าซื้องานศิลปะมาหักเป็นค่าลดหย่อนในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินปีภาษีละ 100,000 บาท เพื่อจูงใจให้นักสะสม นักลงทุน และประชาชนทั่วไป ซื้อผลงานของศิลปินไทยมากขึ้น ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดการผลิตงานศิลปะ และทำให้มูลค่าอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของไทยเพิ่มขึ้นตามมา
2. มาตรการทางภาษีเพื่อสนับสนุนผู้สร้างสรรค์งานศิลปะ
ให้ศิลปินผู้สร้างสรรค์งานศิลปะสามารถหักใช้ค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้เพิ่มขึ้น จาก 30% เป็น 60% โดยไม่กำหนดประเภทศิลปิน ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายและส่งเสริมให้ศิลปินสร้างสรรค์งานศิลปะมากขึ้น
ทั้ง 2 มาตรการนี้ กรมสรรพากรอยู่ระหว่างหารือในรายละเอียดและคาดว่าจะสามารถออกกฎกระทรวงและพระราชกฤษฎีการองรับมาตรการดังกล่าว ภายในเดือนมิถุนายน 2568
Advertisement