อมรัตน์ ยืนยัน กำนันนกไม่เคยเป็นสมาชิกพรรคก้าวไกล เคยรู้จักรุ่นพ่อไม่รู้จักรุ่นลูก เชื่อส่วยทางหลวง ตำรวจไทยและนายก ปราบได้ ถ้าตั้งใจทำจริง จึงอยากฝากกำลังใจไปให้บิ๊กโจ๊ก
นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล หรือ เจี๊ยบ อดีต ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้ เปิดเผยถึงกรณีที่มีกระแสโซเชียลระบุว่ากำนันนกเคยเป็นอดีตสมาชิกพรรคก้าวไกล ว่าได้มีการตรวจสอบไปที่ฝ่ายทะเบียนของพรรคเเล้ว ไม่มีรายชื่อของกำนันนก ยืนยันได้ว่ากำนันนกไม่เคยเป็นสมาชิกของพรรคก้าวไกลมาก่อน ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นตนมองว่าต่อให้กำนันนกจะเป็นสมาชิกทั่วไปของพรรคก้าวไกลหรือแม้แต่พรรคการเมืองอื่น ๆ ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อพรรค เนื่องจากเป็นพฤติกรรมส่วนบุคคล และแต่ละพรรคก็มีสมาชิกจำนวนมาก คงไม่สามารถตรวจสอบได้หมด
ส่วนตัวแล้วตนเคยรู้จักกับผู้ใหญ่โยชน์ พ่อของกำนันนก ตั้งแต่เมื่อ 10 กว่าปีก่อนเเล้วตั้งเเต่สมัย นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ตอนนั้นคุณพ่อของตนเคยเป็นกำนันอยู่ที่ตำบลนครปฐม ส่วนพ่อของกำนันนกเป็นผู้ใหญ่บ้านอยู่ที่ตำบลตาก้อง ซึ่งตำบลทั้ง 2 แห่งนี้อยู่ติดกัน พอตนเองโตมาก็ได้ทำงานอยู่ที่ธนาคาร แล้วคุณพ่อเเละคุณเเม่ของกำนันนก ก็เข้ามาเป็นลูกค้าทำให้รู้จักกัน โดยรวมเเล้วเขาก็เป็นคนอัธยาศัยดี พูดจาดี ให้เกียรติคน ไม่ได้ดูท่าทางเป็นนักเลงหัวไม้ หรือผู้มีอิทธิพลอะไร ทำธุรกิจเล็ก ๆ อยู่เลย โดยตอนนั้นก็รู้แค่ว่านายนกเป็นลูกชายของผู้ใหญ่โยชน์ ซึ่งตอนนั้นเค้าเองก็ยังเล็กมาก
ส่วนกำนันนกตนเองก็เพิ่งจะมารู้จักจากข่าวว่าเป็นลูกชายของคนรู้จักกัน และก็ไม่ได้สนิทสนมอะไรเป็นการส่วนตัว หลังจากเป็นข่าวตนเองก็ได้สอบถามเพื่อนในนครปฐมซึ่งก็ทราบว่ากำนันนกเองก็ไม่ได้เป็นคนมีชื่อเสียงในแวดวงสังคมมากนัก แต่อาจจะมีชื่อเสียงในวงการธุรกิจสีเทา หรือแวดวงธุรกิจรถบรรทุก รวมถึงตำรวจทางหลวง หรือในสายอาชีพของเขา จึงทำให้ตนเองไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน
ส่วนเรื่องซุ้มผู้มีอิทธิพลที่จังหวัดนครปฐม ก็ยืนยันว่ามีเหมือนกันแทบทุกจังหวัดทั่วประเทศไทย โดยในสมัยก่อน นครปฐมขึ้นชื่อเรื่องเมืองคนดุ มีการใช้อาวุธปืนยิงกันด้วยซ้ำ ตนจึงได้ออกมาโพสต์เพื่อต้องการให้กำลังใจบิ๊กโจ๊กในการปราบปรามผู้มีอิทธิพลให้หมดไป
ส่วนประเด็นเรื่องส่วยทางหลวง ยอมรับว่าในอดีตบ้านของตนทำธุรกิจเกี่ยวกับรถร่วม บขส. รถสีส้ม ต้องจ่ายสัมปทานให้ บขส. รวมถึงเคยทำธุรกิจรถตู้ แล้วก็เคยประสบปัญหาต้องจ่ายส่วย ให้ผู้มีอิทธิพลในพื้นที่จริง
หลังจากที่คุณวิโรจน์ได้ออกมาเปิดโปงเรื่องส่วยสติกเกอร์ พวกผู้มีอิทธิพลก็เปลี่ยนวิธีการกลับมาใช้การบันทึกเลขทะเบียนรถเเทน ดังนั้นเรื่องส่วยทางหลวงไม่ได้หายไปจากสังคมไทยเพียงแค่ปรับเปลี่ยนวิธีการเท่านั้น
ซึ่งในช่วงแรกที่มีการออกมาพูดเรื่องส่วยสติกเกอร์ก็มีผู้ประกอบการบางรายเดินทางมาหารือที่พรรคก้าวไกล โดยตอนแรกพวกตนเข้าใจว่าต้องการมาให้ข้อมูลเพิ่มเติมในการเปิดโปงเรื่องนี้ แต่กลับกลายเป็นว่าพวกผู้ประกอบการกลับมาขอให้พวกตนหยุดแฉ สาเหตุเพราะ การจ่ายส่วยทำให้คุ้มค่าเม็ดเงินที่ต้องจ่ายไปมากกว่าการทำตามกฏหมาย และถึงต่อให้จะต้องจ่ายส่วยให้กับผู้มีอิทธิพลพวกผู้ประกอบการก็ยังคงได้กำไรอยู่อีกมากกว่าครึ่งหนึ่ง ถือว่าสมประโยชน์กัน เเต่ ก็ยังมีผู้ประกอบการบางรายที่มีจิตสำนึกคำนึงถึงถนนที่ต้องใช้สัญจรร่วมกับประชาชนคนอื่น เพราะถ้าหากรถบรรทุกน้ำหนักเกินก็จะทำให้ถนนชำรุดดไวขึ้น เเล้วต้องเอาเงินภาษีของคนทั้งประเทศมาซ่อมเเซม
ส่วนกระแสที่บอกว่าหากก้าวไกลไม่ได้เป็นรัฐบาลแล้วส่วยสติกเกอร์จะกลับมาหรือไม่นั้น ตนก็มองว่าพรรคก้าวไกลถือเป็นพรรคฝ่ายค้านที่มีการตรวจสอบที่เข้มข้น ตนเองก็คาดหวังว่ารัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทยก็จะช่วยดูแลเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน และเชื่อมั่นว่า คุณเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รวมถึงตำรวจไทยเอง จะสามารถปราบปรามเรื่องส่วย รวมถึงผู้มีอิทธิพลในประเทศไทยได้ ถ้าหากมีการทำอย่างจริงจัง จริงใจ นึกถึงจรรยาบรรณ เเละประชาชนเป็นหลัก
เหตุการณ์ของกำนันนกทำให้สังคมได้เปิดตามองเห็นว่ามีเรื่องแบบนี้อยู่จริง ซึ่งไม่ใช่แค่เพียงเรื่องผู้มีอิทธิพล เรื่องส่วย หรือฮั้วประมูล แต่ยังรวมไปถึงเรื่องการขุดบ่อดิน และธุรกิจสีเทาอีกมากมายที่จะตามมา ดังนั้นตนจึงเชื่อว่าหากตำรวจไทยตั้งใจที่จะทำอะไรแล้วก็จะสามารถตรวจสอบได้ไม่ยาก