สันธนะ ไม่อโหสิกรรม ชูวิทย์ ลั่น ให้ธรรมชาติลงโทษ ชี้ส่วยข้ามชาติรีดเงินรัฐกะเหรี่ยงเพิ่ม แนะนายกฯ เรียก ตำรวจ-ปกครอง สงบศึกสายเลือด
วันที่ 8 พ.ย. 66 นาย สันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตตำรวจสันติบาล แถลงกรณีส่วยข้ามชาติ จากเหตุกลุ่มกะเหรี่ยงบีจีเอฟอ้างว่าถูกนายตำรวจในสังกัดตำรวจภูธรภาค 6 ส่ง ข้ามไปฝั่งประเทศเมียนมา เพื่อขอเรียกรับผลประโยชน์จากพื้นที่ที่ชาวจีนเข้ามาลงทุนบ่อนกาสิโนและสถานบันเทิงว่า
ส่วยไม่ได้มีแค่ฝั่งเมียนมาเท่านั้น แต่การจะข้ามฝั่งจากไทยไป ก็ต้องจ่ายค่าผ่านทางสูงถึง 1,500 บาทต่อคนต่อครั้ง ในขณะที่รัฐกะเหรี่ยงมีการจ่ายค่าดูแล เดือนละ 2 แสนบาทผ่านนายฟิค ชายที่ถือ 2 สัญชาติ ซึ่งเป็นมือเก็บเงินมือดีที่จะคอยเก็บส่วยเป็นเงินสดจากรัฐกะเหรี่ยงมาแจกจ่ายให้หน่วยงานฝั่งไทย ราว 20 หน่วยงาน เงินหมุนเวียนราว 4 ล้านบาท จึงเป็นมือเก็บมือดี และหน้าเสื่อในการเก็บส่วย
และเมื่อมีการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจระดับผู้กำกับการ กองบังคับการ ไปจนถึงกองบัญชาการ ผู้ที่เข้ามาทำหน้าที่เหล่านี้ต้องสนองนโยบาย ด้วยการส่งเงินไปยังระดับสูง เข้าข่ายลักษณะต้องก่อนผ่อนทีหลัง เมื่อรับตำแหน่งแล้วต้องไปจ่ายส่วย โดยการจ่ายแบบผ่อนรายเดือน จึงขอฝากให้นายกฯ ตรวจสอบว่าส่วยในแต่ละเดือนเงินไปอยู่ที่ใคร ฝ่ายการเมืองใช่หรือไม่ และทราบว่าตอนนี้มีการขึ้นค่าส่วยรายเดือน จาก 2 แสนบาท เป็น 5 แสนบาท ทำให้รัฐกะเหรี่ยงไม่พอใจ และเป็นที่มาของเหตุการณ์ที่ตำรวจไทยบุกไปเก็บส่วยข้ามแดน ทำให้รัฐกะเหรี่ยงไม่พอใจ และประกาศจะปิดชายแดนในเขตพื้นที่รับผิดชอบด้านทิศเหนือ จ.เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง สมม. ตลอดแนวชายแดนทั้งหมดเนื่องจากไม่พอใจ
นายสันธนะ ยังฝากถึงที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ซึ่งไม่ใช่ตนแน่ เพราะตนกดลิฟท์ไม่ถึงชั้น 14 ว่า นโยบายของนายกรัฐมนตรีที่ไม่ต้องการให้มีการซื้อขายตำแหน่งในวงข้าราชการตำรวจ แต่ไม่มีนโนบายมารับมือ ทำให้ไม่มีการซื้อขายตำแหน่งจริง แต่ทำให้เกิดตั้งก่อนผ่อนทีหลัง และเป็นที่มาที่ทำให้มีเรื่องส่วยข้ามชาติ
ส่วนประเด็นศึกสายเลือด ระหว่างฝ่ายปกครอง และเจ้าหน้าที่ตำรวจ จากการลงพื้นที่จับบ่อนและสถานบันเทิง มองว่าเป็นการแก้แค้นกันไปมา ซึ่งเรื่องนี้เคยเกิดขึ้นแล้วในรัฐบาลก่อน ดังนั้นจึงขอเสนอให้นาย เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เรียกทั้งสองฝ่ายมาพูดคุยกัน เพื่อสงบศึก แก้ปัญหาให้สองหน่วยงานได้ร่วมมือกันทำงานอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
นายสันธนะ ยังถึงประเด็นเกี่ยวกับนาย ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองชื่อดัง โดยระบุว่า เมื่อวันที่ 1 พ.ย. ที่ผ่านมา มีบุคคลปริศนาได้โทรศัพท์เข้ามาหาตน เป็นอดีตตำรวจยศพลตำรวจโท เป็นรุ่นน้องของตน ในการสนทนาฝ่ายนั้นระบุว่านายชูวิทย์ให้โทรหาตน ขอให้ตนกับชูวิทย์เลิกแล้วต่อกันได้หรือไม่ ซึ่งตนมองว่า ตอนนายชูวิทย์พูดถึงตน ประกาศให้รู้ทั่วประเทศ แต่ตอนขอจบกลับมาพูดกันแค่ 2 คน ซึ่งตนไม่ทราบว่าขณะอีกฝ่ายพูดอยู่นั้น ได้เปิดโทรศัพท์ฟังด้วยกันกับนายชูวิทย์หรือไม่
นายสันธนะ ตั้งข้อสงสัยว่า การที่โทรมาเคลียร์ เนื่องจากมีคดีที่นายชูวิทย์ถูกอัยการนำตัวไปฟ้องที่ศาล ซึ่งหากไม่ไปจะถูกออกหมายจับ และจะไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ เป็นคดีที่นายชูวิทย์พยายามปิดสื่อ
ทั้งนี้ตนกับนายชูวิทย์ ได้มีการคุยกันวันนั้นแล้ว ตนไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ แต่คิดว่าตัวนายชูวิทย์ทราบดีอยู่แล้ว
นายสันธนะ กล่าวว่า ใครจะมารู้จักนายชูวิทย์ดีเท่ากับตน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาตนมีความสัมพันธ์รู้จักกันดีมาตลอด ตั้งแต่นายชูวิทย์เปิดสถานบริการ ตนรู้เรื่องนายชูวิทย์ทั้งหมด ที่ตนพูดไม่ใช่การกล่าวหา แต่ที่ผ่านมานายชูวิทย์ให้ข่าวว่าไม่รู้จักตนและพูดถึงตนไม่ดีต่อหน้าสื่อมาตลอด ซึ่งตนก็นิ่งทนฟังมาตลอด ไม่ได้โต้ตอบอะไร และในเหตุการณ์ในช่วง 1 ปีที่เกิดขึ้น นายชูวิทย์ทำอะไรโดยไม่คิด แต่วันนี้จะมาขอ จะเอาอะไร
นายสันธนะ กล่าวอีกว่า เรื่องของนายชูวิทย์กับตน หากตนบอกว่าตนยอม ก็เหมือนตนหลอกสื่อ แต่หากจะให้ตนพูดว่ายอม ตนขอยอมไม่หล่อ ไม่เท่ ไม่อโหสิกรรม วันนี้นายชูวิทย์จะใกล้ตายหรือไม่ ตนไม่ทราบ เห็นนั่งวีลแชร์ทำหน้าจ๋อย แต่ส่วนตัวตนก็ยังไม่เชื่อ ดังนั้นหากถามถึงวันนี้และหลังจากนี้ไม่ต้องถามตนอีกแล้ว บอกได้เพียงว่า ธรรมชาติกำลังจะลงโทษเขา หากถามมากว่านั้น ก็จะบอกว่าอยากให้สิ่งที่เป็นธรรมชาติลงโทษเขา ตนไม่มีอะไรจะพูดถึงนายชูวิทย์อีกแล้ว ถ้าจะต้องการคำอวยพร ก็อวยพรได้ ขอให้นายชูวิทย์ลุกขึ้นจากเก้าอี้วีลแชร์ให้เร็วที่สุดแล้วกลับมาปะทะกันอีก ตนคอยอยู่
พร้อมทิ้งท้ายว่า “ผมไม่ได้บอกว่าผมเป็นคนดี แต่ผมไม่ได้เลวเท่าเขา”