เพื่อไทย-ก้าวไกล ยื่นร่างแก้ไข พ.ร.บ.ประชามติ สลายปมเสียงข้างมาก 2 ชั้น ชงจัดประชามติ พร้อมเลือกตั้ง ประหยัดงบประมาณ
วันที่ 1 ก.พ. 67 ที่รัฐสภา พรรคเพื่อไทย นำโดยนายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรค นายสรวงศ์ เทียนทอง สส.สระแก้ว และเลขาธิการพรรค พร้อมด้วยพรรคก้าวไกล นำโดยนายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรค ยื่นร่างแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ประชามติ 2 ฉบับ ต่อนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร
โดย นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า ตนจะนำร่างทั้ง 2 ฉบับนี้ให้สำนักงานเลขาธิการสภาฯ ดำเนินการตามขั้นตอน และบรรจุเป็นระเบียบวาระการประชุมต่อไป ซึ่งน่าจะแล้วเสร็จโดยเร็ว เนื่องจากมีเวลาในสมัยประชุมนี้อีกประมาณ 2 เดือน 10 กว่าวันเท่านั้น
นายชูศักดิ์ กล่าวว่า กรณีนี้ สส.พรรคเพื่อไทย 129 คน ร่วมกันลงชื่อเพื่อขอแก้ไขร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติปี 2564 เนื่องจากกฎหมายฉบับปัจจุบันกำหนดให้การออกเสียงประชามติ เป็นเสียงข้างมาก 2 ชั้น
ชั้นที่ 1 คือผู้มาใช้สิทธิ์ต้องเป็นเสียงข้างมากของผู้มีสิทธิ์ทั้งหมด และชั้นที่ 2 คือผู้ที่มาออกเสียงต้องเป็นเสียงข้างมากของผู้ใช้สิทธิ์ จึงสุ่มเสี่ยงกรณีหากประชาชนไม่ออกมาใช้สิทธิ์ หรือไม่ประสงค์ใช้สิทธิ์ จะทำให้การออกเสียงประชามติเกิดปัญหาขึ้นในอนาคต
“สมาชิกพรรคเพื่อไทยจึงเห็นพ้องต้องกันว่าสมควรแก้กฎหมาย โดยให้ใช้เสียงข้างมากตามหลักทั่วไป โดยกำหนดเงื่อนไขเสียงข้างมากควรจะเกินเสียงของผู้ไม่ประสงค์จะใช้สิทธิ์ออกเสียง เพื่อความถูกต้องชอบธรรม” นายชูศักดิ์ กล่าว
นอกจากนี้ มีอีก 3 ประเด็นที่ควรแก้ไปพร้อมกัน คือเห็นว่าการออกเสียงลงคะแนน ต้องใช้งบประมาณแผ่นดิน ราว 3,000 ล้านบาท จึงคิดว่าหากการออกเสียงประชามติใกล้เคียงกับวันเลือกตั้งทั่วไปหรือวันเลือกตั้งท้องถิ่น ดังนั้น น่าจะจัดไปพร้อมกันในวันเดียวได้ เพื่อประหยัดงบประมาณ และประชาชนก็ไม่ต้องออกมาหลายครั้ง ส่วนอีกประเด็นคือเห็นว่าควรใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่มาพัฒนาวิธีการออกเสียงลงมติ นอกจากการไปกาบัตร เช่น การส่งไปรษณีย์ หรือออนไลน์
ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยเห็นว่า การออกเสียงประชามติควรมีการรณรงค์ จึงควรเขียนไว้ให้ชัดในกฎหมายว่า สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จำเป็นต้องทำ รวมถึงเปิดโอกาสให้ฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยมาแสดงความคิดเห็นได้โดยเสมอภาค จะทำให้การออกเสียงประชามตินั้นประชาชนได้รับรู้รับทราบ
ขณะที่นายพริษฐ์ กล่าวว่า ตนอยากให้ประชาชนมองว่าการแก้ไขกฎหมายประชามติครั้งนี้ คือ การปรับปรุงกฎหมายให้มีความเป็นธรรม มีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นประชามติหัวข้อใดก็ตาม ซึ่งฉบับของพรรคก้าวไกลประกอบด้วย การแก้ไขใน 3 ประเด็น ได้แก่
ประเด็นที่ 1 คือ ทำให้กติกามีความเป็นธรรมมากขึ้น เนื่องจากข้อกังวลของหลักการเสียงข้างมาก 2 ชั้น เราเข้าใจว่าผู้ออกกติกานี้ตั้งใจให้ประชามติมีผลต่อประชาชนจำนวนมาก แต่มีความเสี่ยงเปิดช่องให้ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับประเด็นที่ถูกถาม ใช้วิธีการนอนอยู่บ้าน ไม่ออกมาใช้สิทธิ์เพื่อคว่ำประชามติ จึงเปลี่ยนกติกาให้เป็นเสียงเกินกึ่งหนึ่ง 1 ชั้น คือ ให้เสียงประชาชนผู้เห็นชอบมีเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิ์
ประเด็นที่ 2 คือ ปลดล็อกให้ กกต. สามารถจัดประชามติในวันเดียวกันกับการเลือกตั้งอื่นๆ ได้อย่างสะดวกมากขึ้น เพื่อประหยัดงบประมาณ และยังเป็นประเด็นที่สอดคล้องกับพรรคเพื่อไทย และทำให้ กกต. ยืดหยุ่นมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เพื่อป้องกันไม่ให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ใช้เป็นข้ออ้างในการเลื่อนวันทำประชามติออกไป
ประเด็นที่ 3 คือทำให้ประชามติมีความทันสมัยมากขึ้น ให้ประชาชนออกเสียงประชามติผ่านช่องทางออนไลน์ได้ เพราะปัจจุบันการเข้าชื่อต้องพิมพ์เอกสารออกมาแล้วลงชื่อเท่านั้น ไม่สามารถทำผ่านออนไลน์ได้ พรรคก้าวไกลจึงต้องการรับประกันสิทธิ์ของประชาชนให้สามารถเข้าชื่อทางออนไลน์ได้
ขณะที่อีก 2 ประเด็นเพิ่มเติมของพรรคเพื่อไทย เราเห็นด้วยในหลักการอยู่แล้ว จะดูรายละเอียดในตัวร่างเพิ่มเติมว่าจะปรับปรุงให้รัดกุมยิ่งกว่าฉบับปัจจุบันได้อย่างไร ทั้งนี้ ทั้ง 2 พรรคได้มีการประสานงานกันตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว เพราะเราเห็นถึงความจำเป็นในการนำเสนอการแก้ไขประชามติในทิศทางและค่อนข้างสอดคล้องกัน ซึ่งหวังว่าการแถลงข่าวครั้งนี้จะเป็นทั้งตัวอย่างและนิมิตหมายที่ดี
เมื่อถามว่าได้มีการประเมินความเห็นของ สว.หรือไม่ หากกฎหมายฉบับดังกล่าวถูกตีความว่าเป็นกฎหมายปฏิรูป นายพริษฐ์ กล่าวว่า หากร่างแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวถูกตีความว่าเป็นกฎหมายปฏิรูป ก็จะต้องเข้าสู่การประชุมร่วมรัฐสภา ที่มีสว.พิจารณาด้วย ซึ่งคิดว่าปัญหาเสียงข้างมาก 2 ชั้น ไม่ใช่ประเด็นใหม่สำหรับสมาชิกรัฐสภา ส่วนประเด็นที่เกี่ยวกับ กกต. นั้น ก็ได้เคยเชิญหน่วยงานเข้าหารือแล้ว