เปิดไทม์ไลน์ ไอ้นายฆ่าน้องสาทิ้งบ่อร้าง ญาติน้องเชื่อแรงจูงใจมาจากเรื่องเงิน

13 มี.ค. 67

ทีมข่าวอมรินทร์ไล่ไทม์ไลน์ และวงจรปิดหน้าร้านทอง จับพฤติกรรมผู้ก่อเหตุไปเปลี่ยนใจจากจำนำเป็นขาย สีหน้าท่าทางเรียบเฉย ใจเย็น ด้านญาติน้องสาเชื่อแรงจูงใจมาจากเรื่องเงินอย่างแน่นอน

จากกรณี นายพิทญา หรือ ไอ้นาย อายุ 27 ปี ผู้ต้องหาฆ่า น้องสา อายุ 32 ปี สาวเมียนมา ดาว TiKTok แล้วหมกศพในบ่อน้ำ หลังกุฎิร้าง ภายในวัดท้าวโคตร อ.เมือง จ.นครศรีรรมราช จากนั้นนำสร้อยทองของผู้ตายไปขายที่ร้านทอง ก่อนหลบหนีไปในพื้นที่ จ.กระบี่ แล้วถูกจับตัวได้ ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ทีมข่าวอมรินทร์ทีวีได้เดินทางไปยังร้านทองแห่งหนึ่งในเทศบาลเมืองนครศรีธรรมราช ที่ “นายพิทญา“ นำทองมาขายในวันที่ 4 มีนาคม 2567 หลังจากฆ่า “น้องสา” แล้ว โดยเจ้าของร้านบอกว่ากล้องวงจรปิดของร้านสามารถบันทึกได้แค่ 24 ชั่วโมงและดูแบบเรียลไทม์ ไม่สามารถดูย้อนหลังได้ ส่วนทองที่ “นายพิทญา” นำมาขาย ทางร้านได้ทำการขายต่อไปแล้ว เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาราคาทองขึ้น และไม่รู้ว่าทองดังกล่าวจะเชื่อมโยงกับเหตุฆาตกรรม บวกกับตัวของ “นายพิทญา” ก็เป็นลูกค้าประจำที่ร้านอยู่แล้ว ซึ่งเมื่อวานนี้ตนได้ให้ข้อมูลกับตำรวจไปทั้งหมด

ขณะเดียวกันเราตรวจสอบกล้องวงจรปิดหน้าร้านทอง ก็พบว่าเวลา 10.28 น. “นายพิทญา” ขี่รถ จยย. ของคนตายมาจอดหน้าร้านแล้วเดินเข้าไปในร้านด้วยท่าทีใจเย็น จากนั้นเวลา 10.41 น. “นายพิทญา“ ก็เดินออกมาด้วยท่าทีปกติ ไม่ได้ดูร้อนรนเหมือนคนเร่งรีบอะไร แล้วก็ทำท่าเอาอะไรบางอย่างใส่กระเป๋าเสื้อฮูท คาดว่าน่าจะเป็นเงินที่ได้จากการซื้อทองหรือไม่ก็โทรศัพท์

นอกจากนี้ทีมข่าวยังมีโอกาสได้พูดคุยกับ “ครูขวัญ” (นามสมมติ) ครูประจำชั้นของลูกสาวผู้ก่อเหตุ โดยครูบอกว่าวันที่ 4 มีนาคม 2566 ด้านของ “นายพิทญา“ ขี่รถ จยย. มาส่งลูกสาวที่โรงเรียนตอนประมาณ 09.30 น. ซึ่งเป็นเวลาที่สายมาก ไม่ทันเข้าแถว แต่ท่าทางตอนนั้นปกติ ก่อนจะเดินทางกลับโดยไม่ได้พูดอะไรมาก แต่พอตอนเย็น กลายเป็นญาติมารับลูกของเขากลับบ้านแทน

จากนั้นวันเดียวกัน เวลา 15.13 น. “นายพิทญา“ ทักไลน์ส่วนตัวของครูมาบอกว่า ”พอดีผมกับย่าน้องเปลี่ยนไลน์ใหม่นะครับ ผมเลยกดเชิญเข้ากลุ่มไปครับ“ แต่ครูเพิ่งมาเห็นไลน์ตอนค่ำ ก็ไม่ได้เอะใจอะไร จึงตอบกลับไปเวลา 19.16 น. ว่า “ได้เลยค่ะ”

จากนั้นวันที่ 5 มีนาคม 2567 ตอน 10.54 น. “นายพิทญา“ ยังส่งข้อความมาอีกว่า ”ลูกผมไปโรงเรีบนมั้ยครับครู“  ครูก็ตอบไปว่า ”ไม่มาค่ะ“

ต่อมาวันที่ 6 มีนาคม 2567 เวลา 09.47 น. “นายพิทญา” ทักมาถามอีกว่าลูกไปโรงเรียนมั้ย แล้วยังบอกด้วยว่า “คุณครูครับช่วยถ่ายวิดีโอลูกสาวส่งให้ผมด้วยนะครับ เพราะผมออกมาทำงานต่างจังหวัดแล้วครับ ช่วยรบกวนคุณครูหน่อยนะครับ“ ช่วงเที่ยงครูก็เลยถ่ายรูปลูกสาวของเขาซึ่งกำลังนอนหลับไปให้ จากนั้น “นายพิทญา“ ก็พิมพ์กลับมาว่า ”ขอบคุณมากครับ รบกวนคุณครู ถ้าว่าง ๆ ช่วยหน่อยนะครับ ส่งมาบ่อย ๆ เลยครับ เป็นวิดีโอหรือรูปภาพก็ได้ครับ เพราะผมมาหางานทำที่กรุงเทพฯ“

จนสุดท้ายวันที่ 7 มีนาคม 2567 เวลา 09.05 น. ครูก็ตอบกลับไปว่า “พ่อดูในกลุ่มได้เลยนะคะ ครูถ่ายรูปเด็กๆลงในกลุ่ม“ ซึ่งเป็นข้อความสุดท้ายที่ครูมีโอกาสได้คุยกับ ”นายพิทญา“ และ ”นายพิทญา“ ก็อ่าน แต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา

จนกระทั่งเมื่อวานนี้ 11 มีนาคม 2567 เวลา 19.01 น. ก็มีการแจ้งเตือนว่าไลน์ของ ”นายพิทญา“ ถูกปิดไป รวมถึงไลน์มีการกดดอกจากกลุ่มห้องเรียนในเวลาเดียวกันด้วย  ซึ่งในช่วงเวลานั้นแน่นอนว่ามีข่าวออกไปแล้วว่าพบศพ “น้องสา“ และระบุบุคคลต้องสงสัยคือ ”นายพิทญา”

โดย “ครูขวัญ” บอกกับเราว่าปกติแล้วคนที่มาส่งลูกสาวของ “นายพิทญา” ส่วนใหญ่ก็จะเป็นตัวเขาเอง ที่ผ่านมาก็เหมือนผู้ปกครองทั่วไป ถามไถ่พัฒนาการของลูกทุกวัน พูดจาดี นิ่มนวล แต่จะมาส่งลูกสายประจำ ครูก็เคยถามไปว่าทำไมถึงมาส่งสายบ่อย เขาก็บอกว่าต้องออกไปทำงานตอนเช้าก่อน ก็เลยต้องรอให้งานเสร็จ ซึ่งครูก็เข้าใจและไม่ได้ถามอะไรต่อ

ส่วนกับ “น้องสา” หรือผู้ตายนั้น ตนเคยเห็นว่ามากับ “นายพิทญา” เพื่อส่งลูกสาวประมาณ 3-4 ครั้งในช่วงกลางปีที่แล้ว และหลังจากนั้นก็ไม่เห็นอีกเลย มารู้อีกทีคือมีการประกาศตามหา ก็ยอมรับว่าช็อกเหมือนกันถ้า “นายพิทญา” เป็นคนลงมือฆ่า เพราะเขายังคุยแชทไลน์กับตนแบบปกติมาก

ต่อมาทีมข่าวย้อนกลับไปยัง บขส.นครศรีธรรมราช จุดที่ “นายพิทญา” นั่งรถมินิบัสมุ่งหน้าไปยังอ่าวนาง จ.กระบี่ ก็มีโอกาสได้คุยกับ “นายอาวุธ สุขันทอง” อายุ 58 ปี โชเฟอร์ที่ขับรถมินิบัสคันที่ “นายพิทญา” นั่ง เจ้าตัวบอกว่าจริง ๆ แล้วท่าทีของ “นายพิทญา” วันที่หลบหนีคือนิ่งมาก ไม่มีพิรุธอะไรเลย ไม่เหมือนคนที่กำลังหนีความผิดด้วยซ้ำ แล้วก็เลือกนั่งเบาะเดี่ยว แต่ไม่ใจว่าเบาะไหน

จากนั้นพอนั่งรถไปถึงหน้า บขส.กระบี่ ขณะที่ตนจอดรถเพื่อเอาของลงจากรถบัส “นายพิทญา” ก็เดินไปถามกระเป๋ารถบัสว่า “ถ้าจะไปอ่าวนาง ต้องทำยังไง” ด้านกระเป๋ารถบัสก็แนะนำให้ลงรถแล้วเดินไปที่คิวรถเหมาคัน ซึ่งส่วนใหญ่คนที่รีบๆจะเหมารถไปอ่าวนาง ราคา 300-400 บาท แต่มารู้ภายหลังว่าเขากลับไปนั่งรถสองแถวแทน ซึ่งถ้าเขาเป็นฆาตกรและกำลังหลบหนีจริงก็ถือว่าใจเย็นมาก

ส่วน “นางสาวกล้วย” (นามสมมติ) กระเป๋ารถบัสคันดังกล่าว ก็ยืนยันกับเราว่าท่าทีของ “นายพิทญา” ในวันนั้นดูปกติมาก ขณะที่นั่งอยู่ในรถตรงเบาะเดี่ยว ประมาณ 1-2 นับจากหลัง ก็ไม่มีพิรุธเลยอะไร นิ่ง ๆ ตลอดทาง  และตอนที่ไปถึง บขส.กระบี่ เขาบอกว่าจะไปอ่าวนาง ตนก็แนะนำให้ไปหาคนชื่อ “แอน” ที่ให้บริการเหมารถตรง บขส. กระบี่ เพื่อไปอ่าวนาง หลังจากนั้นตนก็ไม่ได้สังเกตอะไรต่อ เนื่องจากรถบัสจอดตรงนั้นแค่ 10 นาที

ขณะเดียวกันเราได้คุยกับ “นายมอส” อายุ 29 ปี เพื่อนของ “นายพิทญา” ซึ่งเป็นบุคคลแรกที่ให้เบาะแสกับเจ้าของห้องพัก หลังมีการประกาศตามหา ”น้องสา“ ในวันที่ 4 มีนาคม 2567 โดยเจ้าตัวบอกว่าทันทีที่เห็นรูปของ “น้องสา” ก็รู้สึกคุ้นหน้า จำได้ว่าเมื่อต้นปี 2566 เพื่อนของตนหรือ “นายพิทญา” เคยโม้ให้ฟังว่ากำลังคบหากับ “น้องสา”  ชอบที่แต่งตัวสวยลงโซเชียลและบอกว่าฝ่ายหญิงรับได้ที่เขามีลูกติด บวกกับเขายังรู้สึกเครียดที่อดีตภรรยาซึ่งเป็นแม่ของลูกหนีไปกับผู้ชายคนใหม่ ก็เลยสบายใจที่อยากคบหากับ ”น้องสา“

แล้วช่วงต้นปี 2567 ตอนที่ตนไปหา “นายพิทญา” ที่บ้าน เขาก็คุยโทรศัพท์กับ “น้องสา” ตลอดทั้งวันทั้งคืนเหมือนคนอินเลิฟ เริ่มไม่คุยแชร์เรื่องส่วนตัวให้ฟัง นิ่ง ๆ ผิดปกติ ตนก็เลยไม่ค่อยอยากจะยุ่งด้วย จึงตีตัวออกห่างตั้งแต่ตอนนั้น

แล้วในคืนวันที่ 4 มีนาคม 2567 ด้วยความที่ตัวเองก็คาใจจึงขับรถไปเวียนดูหน้าบ้านของ “นายพิทญา” เพราะยังคิดในแง่บวกว่าทั้งคู่อาจจะไปอยู่ด้วยกันที่บ้าน ไปถึงก็เห็นว่ามีวัยรุ่นนั่งอยู่ที่บริเวณไม้หินหน้าบ้าน จึงจอดถามหา แต่กลุ่มวัยรุ่นบอกว่าไม่เห็น ”นายพิทญา“ หลายวันแล้ว

ซึ่งจังหวะเดียวกันตนก็เหลือบไปเห็นว่าพ่อและแม่ของ “นายพิทญา” เดินออกมาจากห้องนอนของ “นายพิทญา” จึงเดินเข้าไปถามหา ซึ่งตอนนั้นแม่ตอบกลับมาแค่ว่า “ไปทำงาน” แล้วก็เดินกลับเข้าบ้านไปเลย ด้วยสีหน้านิ่ง ๆ หลังจากนั้นตนจึงเดินทางกลับ แล้วก็ไม่เห็น “นายพิทญา” อีกเลย

นอกจากนี้ “นายมอส” ยังบอกอีกว่า ถ้า “นายพิทญา” เป็นคนลงมือฆ่า “น้องสา” จริง สาเหตุก็น่าจะมาจากเรื่องเงิน เพราะ “นายพิทญา“ มีปัญหาทางการเงินมาโดยตลอด เนื่องจากเขาไม่มีงานประจำทำและพยายามหาของที่ไม่ค่อยถูกกฎหมายมาขายให้กับเพื่อน ๆ อยู่เสมอ อย่างตนเองก็เคยถูกเสนอขายจำพวกกัญชาให้หลายครั้ง ทั้ง ๆ ที่ตัวของ “นายพิทญา” ไม่ได้สูบ และเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2567 ”นายพิทญา“ ยังทักมาขอยืมเงิน 600 บาทจากตน พร้อมเสนอจะให้ดอกเบี้ย แต่เนื่องจากตนรู้ดีว่าถ้าให้ยืม ก็คงไม่ได้คืนแน่ ๆ จึงปฏิเสธไป

ซึ่งหลังจากมีข่าวการตามหาตัว “น้องสา” ตนก็พยายามติดต่อกับ “นายพิทญา” ตลอด แต่โทรเท่าไหร่ก็ไม่รับ ทักข้อความไปก็ไม่ตอบ จนเมื่อวานนี้ 11 มีนาคม 2567 หลังมีข่าวว่าพบศพ ตนก็ส่งข้อความไปถามว่า “คิดนานไหม แผนนี้ที่ทำ”

และวันนี้ 12 มีนาคม 2567 ตนก็พยายามจะเกลี้ยกล่อมให้ ”นายพิทญา“ กลับมามอบตัว โดยพิมพ์ไปว่า ”มอบตัวเถอะ มึงไม่มีทางพ้นแล้วแหละ ออกหมายจับ อายุความ 20 ปี มึงจะหนีได้จนอายุ 48 ปีเหรอ ทำไม่ได้หรอก ตอนนี้มึงอะลอยตัวไป แต่แม่มึง น้องมึง คนที่บ้านมึงนี่แหละ 555 มึงคิดว่าเขาไม่สอบแล้วสอบอีกเหรอไอ้สัสนาย อีกไม่นานจะได้เจอกันเรา ไอ้สัส คิดว่าจะปิด จะหนี สิ่งที่มึงทำได้หรอ ไอ้สัสนาย ความจริงไม่มีวันตาย“

ล่าสุดเมื่อช่วงเวลา 18:00 น. ทีมข่าวย้อนกลับไปพูดคุยกับแม่ของ “นายพิทญา” อีกรอบ ซึ่งเจ้าตัวก็ยินดีที่จะให้สัมภาษณ์อีกครั้ง พร้อมบอกว่าจริง ๆ แล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจโทรมาแจ้งกับเบอร์ลูกชายคนละพ่อของเขา ว่าลูกชายประสานเข้ามอบตัวตั้งแต่ช่วงบ่ายโมงกว่า ๆ ที่ผ่านมา แต่ไม่ได้แจ้งพิกัด แล้วตอนนั้นตำรวจได้ต่อสายให้คุยกับลูกชายโดยตรงด้วย ซึ่งคำแรกที่ลูกชายพูดกับตนคือ “แม่ น้องสบายดี น้องปลอดภัยครับ” ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ตกใจอย่างเห็นได้ชัด

ตนยอมรับว่าดีใจมากก็เลยตะโกนออกไปว่า ”ลูกกูกลับมาแล้ว“ และก็บอกกับลูกอีกว่า ”อย่างน้อยๆ ถ้าลูกหนีไปมันก็เหนื่อยทั้งตัวเรา และคนที่อยู่ข้างหลัง ไม่รู้ว่าลูกจะไปเป็นไปตายที่ไหน จะกลายเป็นศพนิรนามหรือเปล่า สุดท้ายความทุกข์ก็มาตกอยู่ที่แม่กับญาติพี่น้องที่คอยอยู่ ตั้งสติแล้วรับผิดนะลูกทุกอย่าง ความจริงต้องเปิดเผย แม่รู้นิสัยของลูกว่าลูกเป็นคนยังไง แม่รู้ว่าลูกมีเหตุผล แม้จะเลวบ้าง ชั่วบางขณะด้วยความตั้งใจหรือหรือไม่ก็ตาม แม่คนนี้ก็จะให้อภัย  แม่อโหสิกรรมและยินดีที่จะก้มลงกราบพื้น ชีวิตนี้ไม่มีใครรักมึงเท่าแม่อีกแล้ว สิ่งชั่วร้ายในตัวลูกออกไปให้หมด กลับมาเป็นคนดี ทำตัวดี ไม่ว่าจะอยู่ในที่จองจำก็ตาม แม่พร้อมให้อภัยและเชื่อว่าสังคมก็พร้อมเช่นกัน” (สะอื้น)

นอกจากนี้แม่ยังบอกอีกว่าช่วงระหว่างที่ยังไม่มีข่าวความคืบหน้าของลูกชาย ตนบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกอย่างทั้งพระแม่ธรณี พระแม่โพสพ ขอเปิดทางให้ลูกกลับมาโดยสวัสดิภาพ ด้วยความตั้งใจ

ส่วนข้อมูลที่ว่าแม่ได้ยินเสียง “น้องสา” ร้องช่วงประมาณ 3 ทุ่มของคืนวันที่ 3 มีนาคม 2567 นั้น เจ้าตัวยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง เพราะตอนนั้นขณะที่ตนนอนหลับก็ได้ยินเสียง “น้องสา” ร้องออกมาจากห้องนอนลูกชายว่า “ออกไป มึงออกไป” ตนก็สะดุ้งตื่นและบ่นพึมพำด้วยตัวเองว่า “มันทะเลาะกันอีกแล้ว” ก่อนจะหลับต่อ

และยืนยันว่าช่วง กลางวันของวันที่ 3 มีนาคม 2567 ตนไม่เห็นช่วงที่ “น้องสา” ขี่รถมาที่บ้านเพราะตนกำลังอาบน้ำ มาเห็นอีกทีคือประมาณ 06.30 น. ของวันที่ 4 มีนาคม 2067 เห็นว่ารถของ “น้องสา” จอดอยู่ที่หน้าบ้านแต่ไม่เห็นคน ส่วนลูกชายก็ยังนอนอยู่ที่บ้าน ตนก็ถามว่า “น้องสา” ไปไหน ลูกชายบอกว่า “เมียมึงไปไหนแล้ว พวกมึงทะเลาะอะไรกันนักหนา” แล้วตนก็เห็นว่ารถของผู้ตายจอดอยู่จึงถามลูก ลูกก็บอกว่า “เดี๋ยวผมขี่จะเอาไปคืนเอง” แล้วไม่นานลูกเดินเข้ามากอดตน แล้วบอกว่า “แม่ ลูกไปทำงานแล้วนะ” ก่อนจะไปขี่รถของผู้ตายออกไป หลังจากนั้นตนก็ไม่เจอลูกอีกเลย รวมถึงผู้ตายด้วย

ส่วนกรณีที่มีชาวบ้านพูดว่าหลานสาวหรือลูกของ “นายพิทญา” มีการเพ้อประโยคที่ว่า “พ่อแทงคอแม่” นั้นตนยืนยันว่าไม่เคยได้ยินมาก่อน เพราะ หลังจากลูกชายหายไปตนก็อยู่กับหลานตลอด ไม่ได้ผวาอะไร ทวดของเขาเพิ่งจะมารับไปเมื่อวาน ยังสนุกปกติ

ส่วนเรื่องที่ตัวของ ”นายพิทญา“ บอกกับครูประจำชั้นของหลานว่าจะมีการเปลี่ยนไลน์ ในวันหนี 4 มีนา ของเขาเองและย่าใหม่ ตนบอกว่าเรื่องนี้ไม่รู้เรื่องเลย เพราะตัวเองไม่มีไลน์ และตนก็ได้ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบไปหมดแล้ว

ขณะที่พ่อเลี้ยงของ ”นายพิทญา“ ก็ยืนยันว่าหลานไม่เคยเพ้อเรื่องใครแทงคอใคร ยังใช้ชีวิตปกติ แล้วส่วนตัวของ “นายพิทญา” ก็ไม่ได้มีพฤติกรรมรุนแรง ไม่เคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แต่ถ้าเขาทำจริงก็คงจะเป็นเหตุบันดาลโทสะ

วันนี้ทีมข่าวอมรินทร์ทีวีลองเดินสำรวจเส้นทางที่คาดว่าตัวของ “นายพิทญา” จะพาร่างของผู้เสียชีวิตไปทิ้งอำพรางศพบริเวณบ่อน้ำในกุฎิร้าง ซึ่งห่างจากบ้านของ “นายพิทญา” เพียงแค่ 30 เมตร

โดยเส้นทางจากห้องนอนของ “นายพิทญา” จะมีทางออกเพียงแค่ประตูด้านหน้าเพียงแค่ช่องทางเดียว หลังจากนั้นก็จะพาอ้อมไปยังข้างบ้านซึ่งเป็นตลาดนัดชุมชน ไม่มีกล้องวงจรปิด เมื่อถึงกลางตลาดนัดจะมีทางแยก 2 ฝั่ง โดยเส้นทางที่ 1 เดินผ่านตลาดนัดไปและเลี้ยวขวา ซึ่งจะไปพบกับประตูของกุฎิร้างหลัง จากนั้นเมื่อเดินเข้าไป 2 ล็อกก็จะเป็นห้องน้ำและเป็นบ่อร้างจุดทิ้งศพ

ส่วนเส้นทางที่ 2 หลังจากถึงแยกกลางตลาดก็จะเลี้ยวซ้าย ซึ่งเส้นทางนี้จะสั้นกว่า แต่พื้นจะเป็นลักษณะดิน มีขยะกองไฟ เศษไม้ ก้อนอิฐ รวมถึงกระเบื้องวางอยู่ ซึ่งแน่นอนว่าหากพามาเส้นทางนี้จะต้องพบร่องรอยของการลากและช่องทางนี้จะไม่มีประตู จะมีเพียงแค่บล็อกหน้าต่างที่ถูกเอาหน้าต่างออก เหลือแค่ปูนเปลือย หากมีการยกและพาดบนบล็อกเหล่านี้ก็จะต้องมีร่องรอยของเลือดหรือชิ้นส่วนบางอย่างติด อยู่แต่เบื้องต้นตรวจสอบแล้วไม่เจอ

โดยหลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ผู้สื่อข่าวได้สอบถาม “นายพิทญา” ที่ภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราช เสร็จเรียบร้อย บรรยากาศก็เต็มไปด้วยความตึงเครียด เนื่องจากมีทั้งเจ้าของห้องพักและกลุ่มเพื่อนของผู้เสียชีวิตมาสังเกตการณ์ จึงทำให้มีจังหวะที่หวิดเกิดการปะทะขึ้น เนื่องจากทางเจ้าของห้องพักที่มีการประกาศตามหาตั้งแต่วันแรก และเพื่อน ๆ ไม่พอใจกับพฤติการณ์ของ “นายพิทญา” ที่ก่อเหตุฆ่าอำพรางศพ “น้องสา” อย่างโหดเหี้ยม จึงมีการด่าทออย่างคำหยาบ บ้างก็มีการถามว่าทำไมถึงทำได้ขนาดนี้ และในระหว่างที่มีการคุมตัว นายพิทญา“ ออกจากภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราช ด้านของกลุ่มเพื่อนก็พยายามวิ่งตาม พร้อมตะโกนด่า เพื่อที่จะเข้าประชิดตัวของผู้ก่อเหตุ แต่ถูกเจ้านายตำรวจกันไว้

ล่าสุดเมื่อเวลา 19:00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้คุมตัว “นายพิทญา” มายังสภ.เมืองนครศรีธรรมราช เพื่อทำการบันทึกจับกุมที่ห้องสืบสวน โดยเจ้าตัวยอมรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา เบื้องต้นเท่าที่ทีมข่าวสังเกตสีหน้าและพฤติกรรมของ “นายพิทญา“ ขณะอยู่ในห้องสืบสวน ก็ยังคงดูเรียบเฉย และหลบหน้าหลบตาสื่อ เห็นได้ชัดว่าที่บริเวณนิ้วชี้ของมือขวามีการใช้พลาสเตอร์ยาพันแผลไว้  ซึ่งคาดว่านี่อาจจะเป็นแผลที่เกิดจากการใช้มีดทำร้าย “น้องสา” แล้วพลาดโดนมือตัวเอง

ทั้งนี้จากการสอบถามเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมทราบว่า จุดที่มีการเข้าไปจับกุมคือบริเวณพื้นที่ หมู่ 8 ต.กรุงหยัน อ.ทุ่งใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งจุดนี้เป็นลักษณะป่าและบึง โดยจากการสอบถาม “นายพิทญา” เจ้าตัวบอกว่าหลังจากหลบหนีมาจากบ้านเพื่อนใน จ.กระบี่ ก็เหมารถมาเรื่อยๆ ก่อนลงที่จุดนี้ แล้วเข้าไปหลับนอนอยู่ในป่าริมเขาทุกคืน พร้อมยืนยันว่าไม่ได้ไปกบดานอยู่ที่บ้านญาติ

ล่าสุดเวลา 20.20 น. หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจทำการบันทึกจับกุมเสร็จสิ้น ก็ได้คุมตัว “นายพิทญา” ออกจากห้องสืบสวน เพื่อคุมตัวเข้าห้องขัง ซึ่งระหว่างนั้นทีมข่าวมีโอกาสได้สอบถาม “นายพิทญา” ในหลาย ๆประเด็น โดยช่วงแรกเจ้าตัวอยากจะขอโทษครอบครัว โดยเฉพาะแม่ที่ร้องไห้ตลอดเวลาหลังจากทราบเรื่อง เจ้าตัวบอกว่า “น้องขอโทษนะแม่ น้องยอมรับผิดแล้ว” พร้อมกับยืนยันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดตัวเองก่อเหตุเพียงแค่คนเดียว ไม่มีใครรู้เห็นและลูกสาวไม่ได้เห็นเหตุการณ์

พร้อมกับอยากขอโทษ “น้องสา” ผู้เสียชีวิต รวมถึงครอบครัวที่อยู่ทางพม่าและยืนยันว่าการกระทำของตนเกิดขึ้นจากการบันดาลโทสะ เนื่องจากปมหึงหวง ไม่ได้มีปมทรัพย์สินอื่น ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง พร้อมกับเล่าว่าตนไม่เคยรู้มาก่อนว่า “น้องสา” มีผู้ชายอีกคน

เพราะแม้กระทั่งคืนเกิดเหตุ ตนก็ยังเข้าใจว่าความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับ “น้องสา“ ยังคงเป็นแฟนกันอยู่ ไม่ได้เลิกรักกัน แล้วที่ผ่านมาตนก็ระแคะระคายว่าตัวของ ”น้องสา“ แอบพูดคุยกับผู้ชายอื่น ทั้งเรื่องของการคุยแชท ซึ่ง ”น้องสาว“ พยามปฏิเสธมาโดยตลอด จนกระทั่งคืนเกิดเหตุตนได้เห็นกับตา แล้วเกิดอาการโกรธ บันดาลโทสะ จึงใช้อาวุธมีดแทงเข้าไป 1 ที โดยที่ผู้เสียชีวิตไม่ได้มีการร้องขอชีวิตและตนไม่ได้ใช้อาวุธอื่นนอกจากอาวุธมีด พร้อมกับพยักหน้ารับ เมื่อทีมข่าวถามว่า ณ เวลานี้ก็ยังคงรัก ”น้องสา” อยู่ไหม

ส่วนเรื่องโทรศัพท์ของผู้เสียชีวิต เจ้าตัวบอกว่าไม่ได้เอาไปด้วย ซึ่งในประเด็นนี้จากการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ “นายพิทญา” ให้การว่าทิ้งในถังขยะหน้าบ้านจุดเกิดเหตุพร้อมกับท็อปเปอร์ที่ใช้หอร่างของผู้ตายเพื่อลากไปทิ้งในบ่อร้างตรงกุฎิร้างหลังบ้าน

ส่วนบ่อร้างจุดทิ้งศพ ตนไม่ได้มีการดูลาดเลา เพียงแค่รู้ว่ามันอยู่ใกล้บ้าน แล้วจีวรพระที่ใช้ห่อศพก็เอาจากในกุฎิร้าง หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็คุมตัว “นายพิทญา” เข้าห้องขังไป ซึ่งเจ้าตัวก็มีสีหน้าท่าทางเครียดก้มหน้าตลอดเวลา

ไทม์ไลน์การก่อเหตุ โดยจากการสืบสวนสอบสวนทราบว่าตัวของ “นายพิทญา” ได้ทำการก่อเหตุฆ่า “น้องสา“ ช่วงเวลาประมาณ 3 ทุ่ม ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่แม่ของ ”นายพิทญา“ ให้การว่าได้ยินเสียงร้อง หลังจากนั้น ”นายพิทญา“ ก็อยู่ในห้องกับศพร้อมลูกสาวรวมทั้งหมด 3 คนจนถึงเที่ยงคืนถึงได้ตัดสินใจนำท็อปเปอร์ทำการห่อศพแล้วลากออกทางประตูหน้าห้องนอน ผ่านตลาดและไปเข้าทางประตูของกุฎิร้าง ซึ่งเป็นเส้นทางที่ 1 ตามที่ทีมข่าวอมรินทร์ทีวีลงพื้นที่สำรวจ

หลังจากนั้น ”นายพิทญา“ ได้เอาท๊อปเปอร์ที่ห่อร่างของ ”น้องสา” พร้อมโทรศัพท์ของ “น้องสา”  2 เครื่องไปทิ้งในถังขยะหน้าบ้าน ก่อนจะเข้าไปทำความสะอาดห้องและในเวลาประมาณตี 2 ของวันที่ 4 มีนาคม 2567 ถึงได้เดินออกไปในสภาพเหงื่อโชก ไม่สวมเสื้อ นุ่งเพียงแค่กางเกงขาสั้นไปซื้อน้ำแข็งที่ร้านค้าในตลาดหลังบ้านซึ่งเป็นร้านของ “ป้าจิ๋ว” ที่ทีมข่าวอมรินทร์ทีวีได้สัมภาษณ์มาก่อน

ก่อนในตอนรุ่งเช้า “นายพิทญา” ตื่นสาย จึงพาลูกสาวไปส่งโรงเรียนช่วงประมาณ 9 โมงครึ่ง แต่ระหว่างทางจากกล้องวงจรปิด ”นายพิทญา“ ได้แวะร้านทองเพื่อทำการจำนำทองของผู้เสียชีวิต  หลังจากนั้นก็กลับไปบ้าน แล้วขี่รถของผู้ตายไปที่ร้านทองอีกครั้งเพื่อเปลี่ยนใจจากจำนำเป็นขาย  แล้วก็พารถของผู้ตายไปจอดไว้ที่หน้าบ้านของน้าเขยของผู้ตาย // ก่อนจะนั่งวินไป บขส. และหลบหนีตามไทม์ไลน์ที่เคยนำเสนอไปก่อน

ต่อมาเมื่อช่วงค่ำของวันนี้พบว่า บรรยากาศที่วัดบุญนารอบ ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานศพให้กับน้องสา พบว่า มีญาติพี่น้องรวมถึงเพื่อนของน้องสาเดินทางมาร่วมพิธีสวดศพ โดยบรรยากาศในงานก็เต็มไปด้วยความโศกเศร้า

ด้านนายวิทยา (สงวนนามสกุล) อายุ32ปี น้าผู้ตาย ได้พูดคุยกับทีมข่าวหลังจากที่นายพิทยา(คนก่อเหตุ) เข้ามอบตัว คิดว่า สำหรับเหตุการณ์ที่นายพิทยามามอบตัวนั้นตนมองว่า ตัวในพิทยาน่าจะฟังคำพูดของแม่ตัวเอง รวมถึงน่าจะไม่มีที่หนีไปอีกแล้ว จึงจวนตัว ถึงมามอบตัวหรือไม่  ซึ่งจากที่ทีมข่าวได้ให้คลิปที่นายพิทยา (คนก่อเหตุ) ได้พูดขอโทษรวมถึงอ้างว่า แรงจูงใจในการก่อเหตุมาจากเรื่องหึงหวง น้าผู้ตายบอกว่า ส่วนตัวคิดว่าแรงจูงใจในการก่อเหตุไม่น่าจะมาจากเรื่องหึงหวง เพราะทั้งคู่ก็เลิกกันไปนานแล้ว ส่วนตัวคิดว่าน่าจะมาจากเรื่องเงินมากกว่า เพราะที่ผ่านมานายพิทยามักจะมาขอเงินของน้องสาเป็นประจำ รวมถึงหลังจากที่น้องสาตาย ที่ร่างของน้องก็ไม่พบสร้อยทอง ,สร้อยข้อมือ และแหวนทอง รวมถึงโทรศัพท์มือถือทั้ง 2เครื่อง (iPhone 11 , vivo ) ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็เห็นแล้วว่า แรงจูงใจมาจากเรื่องเงินอย่างแน่นอน

ซึ่งจากการดูสีหน้าและแววตาจากคลิปที่ทีมข่าวเอาให้ดู ก็เห็นว่า ทางนายพิทยา ไม่ได้รู้สึกผิด หรือสำนึกผิด

ส่วนประเด็นที่ว่าอยากให้นายพิทยาเดินทางมาขอขมาผู้ตายนั้น  น้าบอกว่า อย่าเลยดีกว่าเนื่องจากกลัวว่าญาติ ในงานจะทำใจไม่ได้ แต่ทั้งนี้เองก็ยังไม่ได้รับการติดต่อมาจากญาติของนายพิทยา หลังจาก นายพิทยามอบตัวแล้วตนเองก็อยากให้เขาได้รับโทษถึงประหารชีวิต หากเมื่อเทียบกับพฤติกรรมที่เขาฆ่าน้องสา

advertisement

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส