ทีมข่าวอมรินทร์ ได้พูดคุยกับช่างทำผม หัวหน้างาน และเจ้าของหอพักของน้องสา ซึ่งทุกคนต่างเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า ไอ้นายไม่ได้ลงมือเพราะเรื่องชู้สาว แต่เป็นเพราะปัญหาเรื่องเงินแน่นอน
วงจรปิดวันที่ 2 มีนาคม 2567 เวลา 23.25 น. ที่แผงขายไก่ในตลาดสดแห่งหนึ่ง ซึ่ง “น้องสา” ทำงานอยู่ มีแม่และน้องชายของ “นายพิทญา” ผู้ก่อเหตุ มายืนรอดูการผ่าไก่ในแผงตลาด เนื่องจากแม่คนก่อเหตุได้ติดต่อกับ “น้องสา” ผู้ตายไว้ว่าจะขอเข้าทำงานที่แผงขายไก่นี้ด้วย จึงมาดูการทำงาน ท่าทีนิ่ง เรียบเฉย ซึ่งในระหว่างนั้น “น้องสา“ ยังไม่ได้เข้ากะทำงาน
จากนั้นเข้าสู่เที่ยงคืนรอยต่อวันที่ 2-3 มีนาคม 2567 เป็นเวลาที่ “น้องสา” จะเริ่มเข้างานที่แผงไก่ ภาพกล้องวงจรปิดก็จะจับภาพ “น้องสา” กำลังชำแหละไก่สดอยู่กับเพื่อนพนักงานอื่น ๆ ด้วย ซึ่งเป็นการทำงานตามปกติทุกอย่าง
ต่อมาวงจรปิดเวลา 04.57 น. เป็นเวลาที่ “น้องสา” ใกล้เลิกงานที่แผงไก่ กล้องก็ยังคงจับภาพอยู่บริเวณแผงชำแหละไก่อยู่ และเป็นภาพสุดท้ายที่จับภาพ “น้องสา“ ขณะทำงานได้ เพราะหลังจากนั้นเธอก็ไปปรากฏอีกทีคือบริเวณถนนเทศบาลเมืองนครศรีธรรมราชโดยขี่รถ จยย. บิ๊กไบค์สีชมพูตามที่เคยนำเสนอไปก่อนหน้านี้
ด้านช่างเสริมสวยคนสนิท เผย ผู้ตายมาที่ร้านทุกวัน มาเสริมสวยบ้าง มาฝากของขายบ้าง ทั้งนี้เองตัวคนก่อเหตุเคยมายืนท่าทางมาขอเงินที่ร้าน ด้านผู้ตายเคยบอกก่อนหายตัวว่าไปทวงเงินกู้จากแม่ ก่อนหายตัวไป เชื่อ แรงจูงใจมาจากเรื่องเงิน
นางสาวสุดารัตน์ เจริญผล อายุ27ปี ช่างในร้านเสริมสวย (ใส่เสื้อสีเหลือง) บอกว่า ที่ผ่านมาพี่สาก็จะมาที่ร้านของตนเองเป็นประจำ ก็จะเอาขนมมาฝากให้ตนเองขาย ตนเองถามว่าทำไมพี่สาต้องขยันขนาดนี้พี่สาบอกว่า อยากจะหาเงินให้เยอะเยอะ และส่งกลับที่บ้านที่อยู่ที่พม่า เนื่องจากมีย่าอยู่ที่นั่นรวมถึงบ้านปลายชีวิตพี่สาอยากจะกลับไปอยู่ที่ประเทศบ้านเกิด
ซึ่งช่วงหลังมานี้เวลาพี่สามารถต่อขนตากับตนเองที่ร้านเวลาต่อก็จะนอนบนเตียงตนเองก็ต่อขนตาให้กับพี่สาตามปกติ บางช่วงพี่สาก็เหมือนมีอาการจะร้องไห้น้ำตาคลอ ตนก็บอกไปว่าหากร้องไห้ตัวเองจะต่อขนตาให้ไม่ได้ พี่สาก็ได้เล่าปัญหาชีวิตให้ฟัง ว่าทุกข์ใจและอยากตีตัวออกห่างจากนายพิทยา รวมถึงตอนที่ตนเองต่อขนตาให้น้องสาก็เห็นว่า ช่วงบริเวณคอและหน้าอกมีรอยเขียวช้ำ เพราะน้องสาเป็นคนที่ผิวขาว แผลเขียวช้ำจึงเห็นได้ง่าย
ซึ่งเวลาพี่สามาต่อขนตา ก็มักจะเห็นนายพิทยาขับรถมาคนเดียวบ้างมากับลูกสาวบ้าง พอมาถึงก็จะพยายามจี้ให้พี่สาออกจากร้านเสริมสวย เธอมีพฤติกรรมแปลกแปลก คือจะไม่ถอดหมวกกันน็อครวมถึงมีพฤติกรรมลุกลี้ลุกลน เหมือนจะมาขอเงินของพี่สา แต่ไม่กล้าพูดออกมา แต่พยายามจะให้พี่สาออกจากร้าน เพื่อขอเงิน
ทั้งนี้เองที่ผ่านมาตัวพี่สาทำงานอยู่ในตลาดหัวอิฐ จึงรู้จักกับ พ่อค้าแม่ค้าในตลาดอยู่หลายคน ทั้งนี้พี่สาก็ไปฝากงานให้กับนายพิทยาอยู่หลายที่ แต่นายพิทยาด้วยความขี้เกียจไป ทำวันถึงสองวันก็ไม่ยอมไปทำ จนสุดท้ายพี่สาไม่กล้าไปฝากตัวนายพิทยาทำงานที่ร้านไหนอีกเลย
โดยพี่สาบอกว่า พยายามตีตัวออกห่างและเลิกกันไปแล้ว แต่ตัวนายพิทยาก็ไม่ยอม บางครั้งก็มานอนเฝ้าที่หน้าบ้าน หรือขี่รถวนหาในที่ที่พี่สาไปเป็นประจำ เพื่อตามหาตัว ส่วนสาเหตุที่ยังต้องไปที่บ้านของนายพิทยาอยู่นั้น พี่สาก็บอกว่าจะต้องไปเก็บเงินที่แม่ของนายได้กู้เอาไว้บางวันก็ 100 บาท บางวันก็ 50 บาท
นางสาวสุดารัตน์บอกว่า แรงจูงใจในการก่อเหตุมาจากเรื่องเงินอย่างแน่นอน เพราะว่าในวันที่ 3 มีนาคมก่อนที่พี่สาจะหายตัวไป ได้บอกกับตนว่าจะไปเอาเงิน และอาจจะมีเรื่องหึงห่วงด้วย แต่ส่วนตัวแล้วคิดว่าตอนที่พี่สายังคบกับนายพิทยา พี่สาก็ให้เงินบ้าง แต่พอหลังจากที่ทั้งคู่เลิกราและห่างกันไปสถานะมันต่าง การที่จะให้เงินนั้นก็คงเหมือนเดิม
นายจ้างไม่เชื่อเป็นปมหึงหวง ยกผู้ตายเป็นผู้มีพระคุณเพราะเข้ามาช่วยเหลือเวลาที่ต้องเดือดร้อน มองพฤติกรรมแม่กับน้องชายของผู้ก่อเหตุไม่ได้ตั้งใจอยากจะมาทำงานที่แผงไก่จริง เพราะหลังทดลองสับแล้วก็เดินกลับไปโดยไม่บอกใคร
ขณะเดียวกันด้านของนายจ้างและเพื่อน ๆ ของ ”น้องสา“ ได้ส่งคลิปช่วงวันแรก ๆ ที่ออกตามหา “น้องสา” หลังหายตัว โดยวันที่ 6 มีนาคม 2567 กลุ่มนายจ้างและเพื่อนได้เดินทางไปหาตามจุดต่าง ๆ ทั้งในป่าแถววัดท้าวโคตร และบ้านร้างแถวนั้น แต่ก็ไม่พบเบาะแสอะไร รวมถึงได้เดินทางไปที่บ้านของ “นายพิทญา” ด้วย เนื่องจากมีเบาะแสเป็นผู้ชายที่กำลังคบหาอยู่กับ “น้องสา” ซึ่งก็มีการพูดคุยทำความเข้าใจกับแม่และน้องชายของ “นายพิทญา” ว่าอนุญาตให้เข้าดูใช่หรือไม่ ซึ่งแม่และน้องชายก็ยินดี จึงมีการตะโกนเรียก “น้องสา” พร้อมขอให้เปิดไฟ แต่แม่บอกว่ามีแค่ไฟในห้องน้ำ และน้องชายก็บอกว่าไม่รู้เรื่องที่ ”นายพิทญา“ นั่งรถไปภูเก็ต
เราเดินทางไปพูดคุยกับ “นายสิทธิชัย รัฐนิยม” อายุ 38 ปี และ “นางสาวสุนิดา กันติชล” อายุ 32 ปี นายจ้างที่แผงไก่สด ที่ผู้ตายทำงานในช่วงกลางคืน เจ้าตัวบอกว่าจริง ๆ แล้วแม้ผู้ตายจะเป็นลูกจ้างของตนและเป็นชาวเมียนมาก็ตาม แต่ตนนับถือผู้ตายเป็นผู้มีพระคุณคนหนึ่ง เพราะในวันที่แผงไก่ของตนขาดคน ผู้ตายก็จะมาช่วยตลอด ตั้งแต่ช่วงเที่ยงคืนจนถึง 6 โมงเช้า ทั้ง ๆ ที่ตอน 8-9 โมงเขาต้องไปทำงานประจำต่อที่ห้างขายเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งเป็นแบบนี้มาร่วม 2 ปีที่รู้จักกัน แม้ว่าจะเป็นวันหยุด ถ้าเขาไม่เหนื่อยมากจริงๆ ก็จะไม่ปฏิเสธ
บวกกับว่าผู้ตายเป็นคนที่หน้าตาสวย รักสวยรักงาม แต่เขาไม่เลือกงาน แล้วก็ไม่หมิ่นเงินน้อย ซึ่งต่างจากคนอื่นๆที่คงไม่เลือกเอาตัวเองมาทำงานคาวๆที่แผงไก่ แต่ด้วยความที่ผู้ตายเป็นคนขยัน เก็บเงินเก่ง นิสัยน่ารัก ชอบแบ่งปัน ก็เลยมีแต่คนรักและเอ็นดู
ส่วนภาพจากกล้องวงจรปิดที่เห็นว่าแม่และน้องชายของ “นายพิทญา” เดินทางมายังแผงไก่ของตนในช่วงคืนรอยต่อวันที่ 2-3 มีนาคม 2567 นั้น เป็นเพราะก่อนหน้านี้ผู้ตายบอกกับตนว่า ”มีคนรู้จักอยู่ 2 คนจะฝากเข้าทำงาน เป็นผู้หญิง 1 คน ผู้ชาย 1 คน“ ตนก็ถามย้ำอีกว่า 2 คนนี้เป็นใคร เขาก็ยังยืนยันว่า ”เป็นคนรู้จักที่ขายของอยู่หน้าวัด“ ด้วยความที่เป็นการประสานจาก “น้องสา” ตนก็เลยให้แม่และน้องชายของ ”นายพิทญา“ มาดูงานในคืนนั้น
แต่พอทั้งคู่มาถึง ก็มีการถามไถ่กับลูกน้องของตนว่าใช่แผงงานที่ “น้องสา” เคยฝากฝังไว้ให้ไหม จากนั้นก็ยืนดูอยู่สักพัก ก่อนจะเดินเข้าไปทดลองสับไก่ แต่ด้วยความที่ตนอยากให้ดูงานให้กว่านี้ก่อน ก่อนที่จะลงมือสับไก่ เนื่องจากมันเป็นงานละเอียดอ่อนและต้องใช้มีด ซึ่งเสี่ยงที่จะอันตรายหากไม่ชำนาญ ก็เลยให้ถอยออกมา แต่หลังจากถอยออกมาได้ไม่นาน ด้านแม่และน้องชายของ “นายพิทญา” ก็พากันเดินกลับโดยที่ไม่ได้บอกใครเลย ซึ่งตนมองว่าหากเป็นคนที่อยากทำงานจริง ๆ คงจะมีการบอกกล่าวหรือเข้าไปถามงานมากกว่านี้ แต่พฤติกรรมแบบนี้เหมือนกับว่าไม่ได้ตั้งใจอยากจะทำงานนี้หรือเปล่า
หลังจากวันที่ 3 มีนาคม 2567 ตอนประมาณ 8 โมงเช้า ตนก็ส่งข้อความไปหา “น้องสา” แล้วถามถึงบุคคล 2 คนนั้นที่เข้ามาดูงาน ซึ่งเขาก็บอกว่าที่กลับออกไปเพราะไม่มีใครคุยด้วย และบอกว่าจะเข้ามาใหม่ ตนก็เลยบอกให้ทั้ง 2 คนหรือ แม่และน้องชายของ “นายพิทญา” กลับเข้ามาใหม่ในคืนรอยต่อระหว่างวันที่ 3-4 มีนาคม 2567 พร้อมกับบอกให้ “น้องสา” เข้ามาทำงานตามปกติ ซึ่ง “น้องสา” ก็ตอบรับ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้มาเพราะเกิดเหตุสลดเสียก่อน แล้วตนก็ไม่สามารถติดต่อได้อีกเลย จึงพากันออกตามหา
สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยอมรับว่าเสียใจมาก แต่คงย้อนไปทำอะไรไม่ได้ ตอนนี้ความรู้สึกคือเสียใจในความขยันของเขา และให้เป็นตัวอย่างของวัยรุ่นที่ท้อแท้กับการทำงาน ให้เป็นคนที่รับผิดชอบในหน้าที่การงาน ไม่หมิ่นเงินน้อย สวยทั้งหน้าตา ร่างกายและจิตใจ
แล้วยังไงตนก็ไม่เชื่อว่าปมในการฆ่าครั้งนี้เป็นเรื่องของการหึงหวง เพราะสถานะของเขาทั้งคู่ได้เลิกรากันไปนานแล้ว มองว่าเป็นข้ออ้างของผู้ก่อเหตุมากกว่า จึงอยากขอความเป็นธรรมให้กับผู้เสียชีวิต เพราะถ้าเป็นปมหึงหวงจริง ๆ ทำเพราะรักจริง โดยส่วนใหญ่แล้วหากฆ่าคนหนึ่งตายอีกคนก็ต้องฆ่าตัวตายตามไปด้วย
เจ้าของหอพัก เปิดคลิปในวันที่ตามหาน้องสาที่บ้านของนายพิทยา หลังจากที่น้องสาหายตัวไป แม่อ้าง ติดต่อลูกชายไม่ได้ไม่รู้ว่าลูกชายไปไหนเพราะอ้างว่าไม่มีโทรศัพท์โทรหาลูกชาย ยังเรื่องที่สงสัยเงินทั้งเนื้อทั้งตัวของนายพิทยาหลังจากถูกจับตัวได้เหลือไม่ถึงแสน
ด้าน นางกะสา เจ้าของหอพักที่น้องสาได้พักอยู่ ตนเองรู้จักกับน้องสาผู้ตายมากกว่า 10 ปีแล้วซึ่ง ที่ผ่านมาน้องสาก็ได้มาเช่าหอพักของตนและอาศัยอยู่ เวลาเจอหน้ากันก็จะคอยทักทายกันตลอด พอหลังจากวันที่น้องสาบอกว่าจะมาสับไก่ แต่ปรากฏว่าน้องสาไม่ไป รวมถึงยังติดต่อไม่ได้ จึงได้ให้ตนมาช่วยเรียกน้องสาพอมาถึงบริเวณหน้าห้องก็พบว่า ประตูถูกล็อกจากข้างหน้า ก่อนจะพยายามไล่ภาพกล้องวงจรปิดภายในหอและที่เทศบาลสังเกตพบความผิดปกติก่อนจะเดินทางไปแจ้งความที่โรงพัก
แต่พอตนเองเดินทางไปถึงที่โรงพักทางด้านพนักงานสอบสวนก็บอกให้ตนไปทายาทเดินทางมาแจ้งความซึ่งตนเองก็มองว่าคนหายไปตั้ง 24 ชั่วโมงและเป็นคนที่สนิทด้วยทำไมเจ้าหน้าที่ตำรวจถึงไม่ยอมรับแจ้งความและตามหาต้องรอให้เสียชีวิตก่อน ถึงจะมาแจ้งความได้ใช่ไหม จนกระทั่งวันรุ่งขึ้นวันที่ 5 มีนาคม ตนเองก็ได้เดินทางไปยังโรงพักอีกครั้งนึงเพื่อที่จะสอบถามกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าจะทำยังไงได้ถึงจะเข้าไปที่บ้านของนายพิทยาได้เนื่องจากว่าจากที่ตนเองดูภาพกล้องวงจรปิดแล้วพบว่าน้องสาผู้ตายได้ขับรถบิ๊กไบค์สีชมพูเข้าไปในบ้านของนายพิทยา หลังจากนั้นก็ไม่ได้กลับออกมาอีกเลยพบเพียงว่า นายพิทยาขับรถของน้องสาวออกมาเท่านั้นจึงเกิดความสงสัย
ก่อนจะขอเจ้าหน้าที่สายตรวจหนึ่งคนให้ไปด้วยในวันที่ไปที่บ้านของแม่นายพิทยา ซึ่งตอนนั้นตนเองก็ได้ยกโทรศัพท์มือถือมาถ่ายคลิป ขณะที่กำลังเข้าไปดูภายในห้องของนายพิทยา เพราะตอนนั้นตนเองสงสัยว่าน้องจะต้องอยู่ในละแวกวัดเท่านั้น ซึ่งได้บอกให้แม่ของนายพิทยาโทรหาลูกชาย แต่แม่ก็อ้างว่าไม่ได้มีโทรศัพท์มือถือซึ่งตนเองไม่เชื่อ รวมถึงไม่รู้ว่าลูกชายไปไหน
สำหรับเหตุการณ์ที่นายพยายามพูดว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกิดจากเรื่องหึงหวง เพราะว่าผู้ตายมีผู้ชายคนอื่นมาติดพันในประเด็นนี้ไม่เป็นความจริง ทั้งคู่เลิกกันไปตั้งนานแล้ว โดยสาเหตุที่น้องสาต้องไปที่บ้านของนายพิทยา เนื่องจากต้องไปเก็บเงินที่ทางแม่ของนายพิทยาได้มีการกู้ยืมเอาไว้เท่านั้น และเจตนาเรื่องเงินก็เห็นได้ชัดเนื่องจากว่าพบว่าทองของผู้ตายนั้นหายไปหมดแล้วก็พบจากภาพกล้องวงจรปิดว่าตัวนายพิทยาได้เอาทองของน้องสาไปขาย ส่วนสิ่งหนึ่งที่ตนเองสงสัยก็คือหลังจากที่จับตัวนายพิทยาได้ทำไมทั้งเนื้อทั้งตัวของนายพิทยาถึงเหลือเงินในหลักร้อย จากที่ขายทองของน้องสาไปได้กว่าแสนบาท