ลูกชาย ปั่นจักรยานฝ่าแดดร้อน 41 องศาฯ พาพ่อแม่รับสิทธิสวัสดิการ

9 พ.ค. 67

ลูกชาย ปั่นจักรยาน ไปกลับ 6 กม. พาพ่อแม่ฝ่าแดดร้อน 41 องศา ไปยืนยันตัวตน รับสิทธิสวัสดิการร้านค้าชุมชน วอนรัฐพิจารณาปรับลดขั้นตอน 

จากกรณีที่มีการเผยแพร่คลิปในโลกโซเชียล เป็นภาพชายวัยกลางคนปั่นจักรยาน พาผู้สูงอายุ ฝ่าแดดอุณหภูมิสูงกว่า 41 องศาฯ เป็นระยะทางไปกลับ 6 กิโลเมตร เพื่อมารับสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐ ในพื้นที่ อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ในขณะนี้ 

วันที่ 9 พ.ค. 67 ผู้สื่อข่าวได้ตรวจสอบ พบว่าเป็นเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 6-7 พ.ค. ที่ผ่านมา ที่ร้านค้าชุมชน บ้านน้ำโมง ต.น้ำโมง อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย โดยเจ้าหน้าที่พัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ จ.หนองคาย โดยได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่าที่บ้านไม้ชั้นเดียวยกพื้นสูง สภาพค่อนข้างเก่า อยู่ใกล้กับโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชท่าบ่อ เป็นที่อยู่อาศัยของครอบครัว 4 คน ประกอบด้วย นางสีดา แทนสิงห์ อายุ 78 ปี นายสี แทนสิงห์ อายุ 86 ปี นายทองพูน แทนสิงห์ อายุ 50 ปี ลูกชาย และยังมีน้องชายของนายทองพูน อีกหนึ่งคน โดยทั้งนายทองพูนและน้องชายเป็นบุคคลที่ไม่มีบัตรประจำตัวประชาชน ซึ่งเจ้าหน้าที่พัฒนาสังคมฯ จ.หนองคาย ได้มอบเครื่องอุปโภคบริโภคเบื้องต้น และเงินสงเคราะห์ผู้สูงอายุในภาวะยากลำบาก ได้เป็นรายครั้งให้ด้วย 

จากการสอบถามนายทองพูน กล่าวว่า ตนทำงานอยู่ในโรงงานทำเส้นก๋วยเตี๋ยวในอ.ท่าบ่อ เจ้าของโรงงานเห็นว่าตนไม่มีที่อยู่ และไม่มีบัตรประชาชน จึงสงสารให้ตนอาศัยบ้านของเจ้าของโรงงานหลังนี้ ในวันนั้นตนได้ปั่นจักรยานจากบ้านพักพาพ่อแม่ไปยืนยันรับสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐ โดยต้องปั่นจักรยานไปยังร้านค้าที่บ้านน้ำโมง ห่างจากบ้านพัก 3 กม. ไปกลับ 6 กม. เนื่องจากไม่มีร้านค้าใกล้บ้านเข้าร่วมโครงการ 

โดยรอบแรกพาแม่ไปก่อน ตั้งใจว่าเมื่อพาแม่กลับมาแล้ว จะพาพ่อไปอีกรอบ แต่อากาศร้อน จนทนไม่ไหว จึงต้องพาพ่อไปในวันถัดมา ทำเช่นนี้ทุกเดือน พ่อแม่กับได้รับสวัสดิการ ส่วนตนกับน้องชายเป็นบุคคลตกหล่นไม่มีบัตรประชาชน ไม่สามารถรับสิทธิใดๆ ได้ทั้งนั้น เมื่อเจ็บป่วยก็ต้องจ่ายเงินรักษาตัวเอง อยากขอให้ทางการช่วยเหลือออกบัตรประชาชนให้ด้วย 

ด้าน น.ส.ปิยสา พรมมาเพ็ญ อายุ 47 ปี เจ้าของร้านค้าชุมชน ผู้ถ่ายคลิปเหตุการณ์ เล่าว่า ในวันนั้นเห็นชายคนหนึ่งปั่นจักรยานพาผู้สูงอายุ ซึ่งมาทราบภายหลังว่าเป็นลูกชายปั่นจักรยานมา 2 วัน วันแรกพาแม่ อายุ 78 ปี มายืนยันตัวตนรับสวัสดิการของรัฐ และวันถัดมา ลูกชายคนเดิมก็ปั่นจักรยานคันเดิม พาพ่อ อายุ 86 ปี มารับสิทธิเช่นกัน ซึ่งในวันนั้นอากาศร้อนมาก 41 องศาเซลเซียส สอบถามทราบว่าพักอาศัยอยู่ในตัว อ.ท่าบ่อ 

ทางร้านเห็นใจหลังจากรับสิทธิสวัสดิการไปแล้ว จึงได้มอบข้าวสารให้เพิ่มเติมด้วย ซึ่งเงิน 300 บาทของแต่ละคน ไม่เหมือนกัน บางคนเป็นแค่ค่าอาหารในมื้อเดียว แต่บางคนเงินจำนวนนี้มีค่ามากกว่านั้น การที่ต้องมายืนยันตัวตนเพื่อรับสิทธิในทุกเดือนอาจจะไม่เหมาะกับทุกคน โดยเฉพาะกับผู้สูงอายุ ผู้ยากจนจริงๆ เช่นกรณีนี้ ตากับยาย ต้องมายืนยันตัวตนทุกเดือนซึ่งลำบากมาก เราเห็นใจอยากให้รัฐบาลพิจารณาปรับลดขั้นตอน หรือให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบใช้วิธีโมบายเคลื่อนที่ เพื่อให้บริการกับกลุ่มคนเหล่านี้จะได้หรือไม่ 

นายเจษฎากร พรหมเทศน์ อาสาสมัครพัฒนาสังคม กล่าวว่า มีหน้าที่ช่วยเหลือชาวบ้านกลุ่มเปราะบาง และสำรวจว่ามีผู้ประสบภัยทางสังคมอย่างไรบ้าง ทำงานร่วมกับ พมจ. และผู้ใหญ่บ้านทุกตำบล กรณีนี้ทราบจากร้านค้าว่ามีผู้สูงอายุมาใช้บริการ และกำลังจะลงตรวจสอบในวันหยุดนี้ แต่มีการนำออกสื่อโซเชียลก่อน ในวันนี้จึงได้ลงตรวจสอบ เบื้องต้นพบว่าชาวบ้านอยู่ตามบริบทผู้สูงอายุ ส่วนลูกชายเป็นบุคคลตกหล่น อยากให้ทางการเข้ามาช่วยเหลือ ซึ่งเคยทราบว่ามีโครงการบุคคลตกหล่น และจะสอบถามทางจังหวัดว่ายังมีโครงการนี้อยู่หรือไม่ เพื่อให้ลูกชายทั้งสองคนได้รับการช่วยเหลือตามสิทธิของรัฐต่อไป

advertisement

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส